ทำไมเคสดีๆ ถึงราคาแรง? เปิดหลังบ้าน "CASETiFY" แบรนด์เคสโทรศัพท์ระดับสูง
เผยเคล็ด (ไม่) ลับของการเป็นแถวหน้าของวงการเคสกันกระแทกที่หลายคนมองว่าแพง แต่แท้จริงแล้วในราคามีเหตุผลที่ตอกย้ำว่า CASETiFY ทำไมจึงได้รับความนิยมมากในยุคนี้
ของถูกมักจะไม่ดี ของดีมักจะไม่ถูก นี่คือเรื่องพื้นฐานในโลกของ Gadget ที่มีองค์ประกอบต่างๆ มากมายเป็นตัวกำหนดทั้งราคาและคุณภาพ ซึ่ง CASETiFY เป็นหนึ่งในแบรนด์ผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมประเภทเคสกันกระแทกสำหรับโทรศัพท์สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, หูฟัง ไปจนถึงเคสและสายสำหรับนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ ที่มีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ แล้วอะไรคือเหตุผลของราคาที่แพงกว่า ทำไมคนรุ่นใหม่จึงนิยมเลือกใช้เคสของแบรนด์นี้
KT Review กรุงเทพธุรกิจไอที สอบถามถึงเหตุผลในความนิยมของแบรนด์ “CASETiFY” จากปากของ เวสลีย์ อิ้ง (Wesley Ng) ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ CASETiFY และนี่คือปัจจัยที่น่าจะทำให้อุปกรณ์ที่ดูเหมือนธรรมดา ฮอตฮิตทั้งที่ราคาก็ไม่ธรรมดาเลย
เน้นความแข็งแรง ทนทาน
นี่คือปัจจัยแรกที่ทำให้เคสของ "CASETiFY" เป็นตัวเลือกแรกสำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟนหรือ Gadget ระดับเรือธง เพราะมูลค่าของดีไวซ์เหล่านั้นค่อนข้างสูง จึงต้องการการปกป้องที่มากกว่าแค่การมีพลาสติกหรือยางมาครอบตัวดีไวซ์เฉยๆ
เรื่องความแข็งแรงและความสามารถด้านการปกป้องของเคสแบรนด์นี้จัดอยู่ในแถวหน้าของวงการ เป็นพี่ใหญ่ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีการออกแบบรวมถึงวัสดุที่คัดสรรมาแล้วว่าจะดูแลอุปกรณ์ราคาแพงของทุกคนได้
เคสของค่ายนี้ผ่านการทดสอบ Drop Test ที่ความสูง 6.6 ฟุต มาตรฐานระดับ US Military Grade (MIL-STD) นอกจากนี้พื้นผิวเคสยังเคลือบสารป้องกันรอยขีดข่วน ส่วนการออกแบบโดยรอบนั้นปกป้องได้รอบด้าน 360 องศา ส่วนขอบด้านหน้าที่นูนขึ้นมาเหนือกว่าหน้าจอช่วยป้องกันการกระแทกจากด้านหน้า และรวมถึงวัสดุที่แข็งแรงมากที่บริเวณด้านหลังก็รับแรงกระแทกได้อย่างยอดเยี่ยม
ในบางรุ่นมีขอบและมุมดีไซน์พิเศษมีลักษณะเป็น Bumper ทำหน้าที่กันชนได้เหนือชั้นกว่าแบบปกติอีกด้วย
ความสวยงามคือ No.1
ไม่มีใครปฏิเสธถึงความสวยงามโดดเด่นของเคสจากแบรนด์นี้ เพราะมีให้เลือกหลากหลายในหลาย Category หลายคอลเลคชัน ทั้งงาน OG ไปจนถึงงานคอลแลบที่ผ่านการดีไซน์มาอย่างดี
เรื่องความสวยงามน่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้คนรุ่นใหม่ และคนที่มีความพร้อมที่จะจ่าย เลือกใช้เคส "CASETiFY" ซึ่งนอกจากดีไซน์จะถูกใจแล้ว สีสันและลวดลายที่อยู่บนเคสยังผลิตมาให้ทนทาน ไม่เกิดรอยขีดข่วนหรือประสบปัญหาสีซีดสีตก เพื่อให้การลงทุนซื้อเคสราคานี้ไม่สูญเปล่า และแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ในตลาดเดียวกัน
ยกตัวอย่างคอลเลคชันล่าสุดที่แบรนด์คอลแลบกับตำนานอย่าง Barbie (บาร์บี้) ออกเคสสมาร์ทโฟนและสินค้าอื่นๆ ในสีสันสุดจี๊ด บ่งบอกถึงคาแรกเตอร์ของแบรนด์ Barbie ชัดเจนที่สุด และแน่นอนว่ามาพร้อมดีไซน์แปลกตาแต่น่าสะสมมากไม่ว่าจะเป็นสาวกบาร์บี้หรือไม่ก็ตาม
ให้ความสำคัญกับการคอลแลบ
นอกจากแบรนด์ "CASETiFY" จะแกร่งด้วยตัวเอง การร่วมกันพัฒนาและออกคอลเลคชันพิเศษร่วมกับแบรนด์อื่น, ศิลปิน, วงดนตรี, ภาพยนตร์, แอนิเมชัน หรือแม้กระทั่งไอคอนในแวดวงต่างๆ นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าได้ไปพร้อมๆ กับคุณค่าของแบรนด์ที่ร่วมคอลแลบ
การคอลแลบที่มีประสิทธิภาพ เวสลีย์ อิ้ง บอกว่าไม่ได้ทำแบบสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ต้องประเมินแล้วว่าเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่แค่ไหน
“เวลาเราเลือกคอลแลบเราดูเรื่องตลาดที่เราจะเข้าไปตีด้วย อาจจะเห็นได้ชัดว่าญี่ปุ่นกับเกาหลีเป็นตลาดที่แข็งแรงมาก เพราะในช่วงสองสามปีหลังที่ผ่านมา CASETiFY ที่ญี่ปุ่นกับเกาหลีมีการตีตลาดที่ออกจะอย่างหนัก เราร่วมงานกับศิลปินเกาหลี ศิลปินญี่ปุ่น หรือดังๆ อย่างวันพีซ หรือโปเกม่อน อะไรทำนองนี้
แต่ปีหน้าเรามีเกณฑ์อยู่สามอย่าง คือ หนึ่ง คอลแลบต้องสนุก แปลก น่าสนใจ ครีเอทีฟ, สอง คือ คอลแลบแล้วส่งเสริมตัวแบรนด์ให้แบรนด์เราดีขึ้น และสาม คอลแลบที่สร้างรายได้ เป็นคอลแลบแล้วอย่างไรคนก็ต้องซื้อ”
เอาจริงเอาจังกับความครีเอทีฟ
“เรามีทีมแมวมองที่ทั้งจะทำให้ทางคนที่เราจะคอลแลบมาร่วมงานกับเราได้ และมีทีมที่จะออกไปค้นหาศิลปินด้วยเหมือนกัน”
นี่คือความเอาจริงเอาจังของเคสแบรนด์นี้ในการพยายามพัฒนาให้ทุกคอลเลคชันที่ออกมาสู่ท้องตลาดน่าสนใจและเป็นมากกว่าเคสกันกระแทกทั่วไป เวสลีย์ อิ้ง ย้ำว่าความครีเอทีฟคือหัวใจของแบรนด์ แม้ว่าก่อนหน้านี้ “CASETiFY” จะไม่ได้มีทีมงานด้านนี้ในประเทศไทย แต่ระยะหลัง เพื่อขยายขอบเขตการร่วมงานและสนับสนุนศิลปินไทย จึงมีทีมดังกล่าวในประเทศไทย ทำให้มีศิลปินไทยหลายคนที่ทั้งได้ร่วมงานกับแบรนด์ไปแล้ว และในอนาคตอันใกล้ที่แว่วว่าปี 2566 จะต้องน่าสนใจมากขึ้นในหลายๆ Category
เป็นแบรนด์เดียวที่มี Shop ของตัวเองในหลายประเทศ
จะมีแบรนด์เคสสมาร์ทโฟนและ Gadget สักกี่แบรนด์ที่เดินหน้าเต็มกำลังไม่ว่าตลาดออนไลน์และออนกราวด์ โดยเฉพาะการเปิดหน้าร้านที่ขายสินค้าในแบรนด์ตัวเองเท่านั้น
"CASETiFY มีชอปทั้งหมดทั่วโลก 18 แห่ง มีที่เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง อเมริกา จีน ซึ่ง 18 แห่งยังไม่รวมป็อปอัพสโตร์นะครับ และภายในปี 2025 เราพยายามจะมีชอปถึง 100 แห่งทั่วโลก โดยเรามีตลาดที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่สหรัฐอเมริกา"