‘ชไนเดอร์’ ชูพลังเทคโนโลยี ดันธุรกิจสู่ความยั่งยืน
“ชไนเดอร์ อิเล็คทริค” เดินหน้าผลักดันธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ดึงพลังเทคโนโลยีหนุนการพัฒนาสู่ “ความยั่งยืน” มองโจทย์สุดท้าทาย ภูมิทัศน์ของพลังงานเปลี่ยนไปแล้ว แต่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน
นายสเตฟาน นูสส์ ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย เมียนมา และลาว ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้ให้บริการดิจิทัลทรานฟอร์เมชันด้านการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่นระดับโลก กล่าวว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาทั่วโลกต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งจากสถานการณ์โควิดที่ผลักดันให้ต้องปรับตัวสู่ดิจิทัล ราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น ความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงสภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
นอกจากนี้ ทุกประเทศต่างตอบรับและให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน ด้วยตระหนักว่าการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นทางออกที่ดีที่สุดเพื่อให้โลกรอด
“วันนี้ภูมิทัศน์ของพลังงานได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หลายภาคส่วนต่างให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม การสร้างความยั่งยืน การผลิตพลังงานสีเขียว”
อย่างไรก็ดี การร่วมกันต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ และสร้างความยั่งยืน นับเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับทุกธุรกิจในปัจจุบัน และเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือกันในทุกระดับและทุกองค์กร
เพื่อให้สามารถไปสู่ความยั่งยืนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่ามีเพียง 7% เท่านั้นที่ทราบว่าจะเดินหน้าได้อย่างไร ส่วนที่เหลืออีกกว่า 93% ยังไม่ทราบ
ดังนั้น ชไนเดอร์ มุ่งเข้าไปช่วยเหลือลูกค้าด้วยแพลตฟอร์ม “EcoStruxure” ภายใต้จุดต่างที่มีเทคโนโลยีพอร์ตโฟลิโอที่มีเอกลักษณ์ สามารถตอบโจทย์ได้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนท์ ขณะเดียวกันสามารถเคลื่อนตัวสู่ดิจิทัลได้เร็ว พิสูจน์ได้จากความสำเร็จช่วงโควิดที่ผ่านมา
นอกจากนี้ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนจากที่ได้เร่ิมขับเคลื่อนงานด้านนี้มานานมากกว่า 10 ปี ที่สำคัญชไนเดอร์มีบุคลากรที่มีคุณภาพ
สำหรับโอกาสและความท้าทาย บริษัทยังคงมีมุมมองเชิงบวกและเห็นว่ามีโอกาสรออยู่จำนวนมาก รวมถึงการลงทุนสำหรับดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน พลังงานสีเขียว ความยั่งยืน การมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero และโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ
ทั้งยังมีปัจจัยบวกจากการพัฒนาอีอีซี อินฟราสตรักเจอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และการลงทุนจากต่างชาติที่เข้ามาในไทยอย่างต่อเนื่อง
ส่วนของสภาวะที่เศรษฐกิจชะลอแน่นอนว่าจะสร้างความยากลำบากให้กับธุรกิจมากขึ้น แต่เชื่อว่าลูกค้ายังคงมีแผนการขยายการลงทุนเพื่อทำให้การบริหารจัดการพลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประหยัดมากขึ้น โดยเฉพาะด้านความยั่งยืนและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน
สำหรับปี 2565 นับเป็นปีที่โดดเด่นสำหรับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ทั่วโลก ด้วยการบรรลุรายได้สูงสุดตลอดปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 34,176 ล้านยูโร เติบโตขึ้น 12% จากปีที่ผ่านมา ควบคู่กับการได้จัดอันดับอยู่ในลิสต์รายชื่อ 100 Most Sustainable Corporations ประจำปี 2566 ซึ่งนับเป็นองค์กรที่ยั่งยืนที่สุดในโลกติดต่อกันเป็นปีที่ 12 และเป็นอันดับที่ 1 ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน
ที่ผ่านมาโซลูชันและบริการของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยให้ลูกค้าทั่วโลกลดคาร์บอน ได้ 440 ล้านตันตั้งแต่ปี 2561 โดยเฉพาะในปี 2565 สามารถลดได้ถึง 90 ล้านตัน
ในไทยสามารถเติบโตได้เป็นตัวเลขสองหลัก ขณะเดียวกันได้เห็นว่าดิจิทัลบิสิเนสนับว่ากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยธุรกิจซอฟต์แวร์เติบโตกว่า 100% อีคอมเมิร์ซ 300% ส่วนบริการดิจิทัลเติบโตกว่า 200% ส่วนปี 2566 นี้ยังคงหวังว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบโตนี้ได้อย่างต่อเนื่อง