‘Chivo Wallet’ และการปฏิวัติ เงินดิจิทัลในเอลซัลวาดอร์
“เอลซัลวาดอร์” เป็นประเทศแรกที่ยอมรับบิตคอยน์เป็นเงินตราทางกฎหมาย แต่ความจริงที่พบคือ ประชาชนในประเทศยังไม่พร้อมที่จะยอมรับเทคโนโลยีใหม่นี้
เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน “คริปโทเคอร์เรนซี” หรือ “เงินดิจิทัล” ถือว่าเป็นหนึ่งในเรื่องที่คนพูดถึงมากที่สุด แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจถึงความหมายและผลกระทบที่จะตามมา
“เอลซัลวาดอร์” เป็นประเทศแรกที่ยอมรับบิตคอยน์เป็นเงินตราทางกฎหมาย แต่ความจริงที่พบคือ ประชาชนในประเทศยังไม่พร้อมที่จะยอมรับเทคโนโลยีใหม่นี้
นอกจากการประกาศยอมรับให้เงินบิตคอยน์สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายแล้ว เอลซัลวาดอร์ยังเปิดตัวกระเป๋าเงินดิจิทัลชื่อ “Chivo Wallet” เพื่อให้สามารถโอนเงินบิตคอยน์ได้ โดยมองว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงบริการทางการเงินและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังมีการแจกบิตคอยน์ มูลค่าเป็นเงิน 30 ดอลลาร์สำหรับผู้ที่ทำการดาวน์โหลด Chivo Wallet ในช่วงแรก ซึ่งก็เป็นมูลค่าที่ค่อนข้างสูงเมื่อพิจารณาตามรายได้ต่อหัวต่อปีเฉลี่ยของประชาชน การแจกเงินดิจิทัลนี้ได้รับความคิดเห็นแตกต่างกัน บางกลุ่มมองว่าเป็นโอกาสในการส่งเสริมเศรษฐกิจและการใช้เงินดิจิทัล ในขณะที่กลุ่มอื่นๆ ถือว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวและเป็นความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน
ในปี 2022 รัฐบาลได้มีแผนการขยายการใช้ Chivo Wallet ไปยังการทำรายการประจำวันอื่นๆ และการติดตั้งตู้ ATM บิตคอยน์ 1,500 ตู้ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นความชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของประเทศในการสร้างเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการใช้เงินดิจิทัล
การที่เอลซัลวาดอร์เลือกที่จะยอมรับบิตคอยน์เป็นเงินตราทางกฎหมาย ถือเป็นการเดินหน้าครั้งสำคัญ แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตามมายังไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ประชาชนในประเทศมีการประท้วงและแสดงความขัดแย้งต่อการนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้ และเพียง 1.3% ของการโอนเงินระหว่างประเทศเท่านั้นที่ใช้บิตคอยน์
มากกว่านั้น ผู้ใช้ Chivo Wallet ในประเทศเอลซัลวาดอร์ก็กำลังประสบปัญหาทางเทคนิคในการโอนเงินดิจิทัล โดยมีรายงานว่า ผู้ใช้ไม่สามารถย้ายเหรียญไปยังกระเป๋าเงินอื่นๆ ได้ อีกทั้งผู้คนยังออกมาวิจารณ์ Chivo Wallet ว่าไม่น่าเชื่อถือและมีการรายงานเหตุการณ์การโจรกรรมและการถูกแฮ็กที่เพิ่มขึ้น และมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับความปลอดภัยของ Chivo Wallet
นอกจากนั้น ผลจากการที่รัฐบาลของเอลซัลวาดอร์ได้ทำการลงทุนในบิตคอยน์ ที่มีความผันผวนของราคาทำให้ประเทศนี้สูญเสียเงินลงทุนไปถึง 37%
แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็ยังไม่หยุดที่จะเดินหน้าการลงทุนในบิตคอยน์ต่อ โดยยังคงมีแผนการที่จะสร้าง "เมืองบิตคอยน์" และยังได้ออกกฎหมายใหม่เพื่อเปิดทางสำหรับออก ด้วยเป้าหมายในการระดมทุน 1 พันล้านดอลลาร์ สำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในการขุดบิตคอยน์
ในระดับสากล มีการวิจารณ์และคำเตือนจากองค์กรต่างๆ อย่าง IMF ที่ระบุถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการยอมรับบิตคอยน์ แต่รัฐบาลก็เพิกเฉยกับคำเตือนเหล่านั้น แถมยังมีประเทศอื่นๆ ที่สนใจในการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ เช่น สาธารณรัฐแอฟริกากลาง และประเทศ Saint Kitts and Nevis
เมื่อเทียบกับประเทศที่มีการกำหนดรูปแบบข้อบังคับในการใช้คริปโทเคอร์เรนซีอย่างเช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์ นับว่าเอลซัลวาดอร์ยังคงเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในการศึกษาผลกระทบของการนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้ในประเทศ
ความพยายามของเอลซัลวาดอร์ในการยอมรับเงินบิตคอยน์เป็นเงินตราทางกฎหมายถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก และยังคงเป็นเรื่องที่ต้องถูกสังเกตและวิเคราะห์อย่างรอบคอบ ความผันผวนของราคา ความขัดแย้งของประชาชน และคำเตือนจากองค์กรระหว่างประเทศทั้งหลาย ทั้งนี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น
การที่เอลซัลวาดอร์เลือกที่จะลงทุนใน "เมืองบิตคอยน์" แม้จะเป็นโครงการที่น่าสนใจ แต่ยังคงต้องพิสูจน์ถึงความสามารถในการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติ
ในบริบทของประเทศอื่นๆ ที่กำลังสนใจในคริปโทเคอร์เรนซี เอลซัลวาดอร์เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจและมีค่าเป็นแนวทางในการตัดสินใจ แต่ควรจะมีการวิเคราะห์และประเมินผลอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในด้านของผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ
สรุปแล้ว การยอมรับเงินคริปโทฯ ในฐานะเงินตราทางกฎหมายเป็นเรื่องที่ไม่เพียงแต่ต้องพิจารณาจากมุมของเทคโนโลยีและประโยชน์ทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงความยั่งยืน ความเสี่ยง และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมและระบบการคลังของประเทศ
การที่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์และยั่งยืน จึงต้องอาศัยการวางแผน การวิเคราะห์ และการตัดสินใจที่รอบคอบและมีฐานความรู้ที่เข้มแข็ง