สุขกับงานของเรา
ความสุขที่แท้จริงไม่ได้เกิดมาจากฟ้าประทานหรือมีใครส่งความสุขมาให้
ผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ที่เราเฉลิมฉลองให้กับปีที่ผ่านไปอย่างเต็มที่เพราะเชื่อมั่นว่าปีใหม่ที่เพิ่งมาถึงนี้จะเป็นปีที่มีโอกาสมากกว่าเดิม ซึ่งเราก็มักมีความหวังเช่นนี้ทุกปีเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับตัวเองและคนรอบข้าง
เมื่อมีความหวัง เราก็น่าจะมีความสุขเพิ่มขึ้น แต่รอยยิ้มของคนใกล้ตัวที่เราเห็นอยู่นั้นอาจไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างที่ควรจะเป็น เพราะสภาพแวดล้อมและความเป็นตัวของตัวเองที่แตกต่างกันทำให้มนุษย์แต่ละคนเปิดรับความสุขได้ไม่เท่ากัน
เพราะความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ได้เกิดมาจากฟ้าประทานหรือมีใครส่งความสุขมาให้ แต่ล้วนเกิดจากภายในตัวเอง จนทำให้เราเห็นความแตกต่างของคนที่มีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว กับคนที่มีเพียบพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างแต่กลับไม่มีความสุขในชีวิต
โดยเฉพาะในสังคมการทำงานที่เราจะเห็นคนที่มีความสุขกับงานที่ทำ ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะตื่นมาด้วยความประฉับกระเฉงเพราะอยากเร่งทำงานให้สำเร็จ ประชุมกับใครก็มักจะทำให้คนรอบข้างมีพลังฮึดตามขึ้นมาด้วยเพราะรู้สึกถึงเป้าหมายและความสำเร็จที่จะเกิดขึ้น
ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่มีความสุขกับงานที่ทำ ซึ่งเขามักจะตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในทุกวัน เมื่อไปทำงานก็ไปแบบซังกะตายเพราะไม่คิดว่าสนุก ไม่มีเป้าหมาย และมองไม่เห็นความสำเร็จ ใครอยู่ใกล้ก็จะได้รับพลังด้านลบไปจนไม่อยากทำงานด้วย
ความสุขในหน้าที่การงานถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะมนุษย์เราใช้ชีวิตส่วนมากไปกับการทำงาน โดยช่วงแรกของชีวิตตั้งแต่ 1-25 ปีนั้นเราหมดไปกับการเรียนรู้ แต่ที่เหลือนั้นเป็นช่วงชีวิตที่เราสร้างฐานะ สร้างครอบครัว สร้างสังคม สร้างชาติ ฯลฯ โดยการทำงานด้วยกันทั้งนั้น
ยิ่งอายุของเรายืนยาวขึ้นด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์และวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น การเกษียณอายุก็ถูกยืดออกไปจาก 60 ปีเป็น 65 ปี หรืออาจมากถึง 70 ในบางสายอาชีพ นั่นแปลว่าหลังจากวัยแห่งการเรียนรู้ เราก็ใช้เวลาถึงเกือบ 50 ปีในชีวิตไปกับการทำงาน
การแสวงหาความสุขในวัยทำงานจึงถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเคล็ดลับในการสร้างความสุขนั้นไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย เริ่มจากข้อแรกคือหมั่นคิดบวกเสมอ เพราะการคิดบวกจะกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึกของเราให้เป็นบวก และเริ่มต้นวันใหม่ทุกวันด้วยความรู้สึกว่า “วันนี้จะเป็นวันที่ดี”
เมื่อคิดว่าทุกสิ่งรอบตัวเป็นไปด้วยดีแล้ว แม้จะเจอปัญหาเราก็จะรับมือกับมันได้ดีเพราะมองว่าเป็นเรื่องปกติ และมองว่าการแก้ปัญหาจะยิ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์และยิ่งทำให้ตัวเราเก่งมากขึ้นเพราะได้เรียนรู้การแก้ปัญหาใหม่ๆ ตลอดเวลา
ข้อสองคือ การรู้จักควบคุมอารมณ์ด้านลบ แม้ว่าปุถุชนอย่างเราอาจมีอารมณ์โกรธหรือเศร้าเกิดขึ้นในบางครั้ง ซึ่งเราก็ต้องรู้จักเศร้าแต่ก็ต้องรู้จักวิธีควบคุมไม่ให้เศร้าจนเกินพอดี หรือจะเป็นอารมณ์โกรธ ซึ่งเราโกรธได้แต่ก็ต้องมีขอบเขต และรู้จักผ่อนหนักให้เป็นเบา และลดอารมณ์ด้านลบนั้นให้บางเบาลงจนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นท้ายที่สุด
บางครั้งการที่เราจมอยู่กับอารมณ์ด้านลบเราอาจจะจมดิ่งลงสู่วัฏจักรแห่งอารมณ์ด้านลบโดบไม่รู้ตัว เช่นความเศร้าที่เกิดจากการติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีตัวแปรด้านลบเต็มไปหมด จนรู้สึกไม่มีความหวัง ไม่มีอนาคตทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเราไม่อาจเปลี่ยนปัจจัยต่างๆ เหล่านั้นได้ แต่เราสลัดความคิดลบไปแล้วเตรียมพร้อมให้ตัวเองปรับตัวรับสถานการณ์เหล่านั้นให้ดีที่สุดได้จะมีประโยชน์กว่ามาก
ข้อสามคือ ต้องรู้สึกเติมเต็มในชีวิต คือพอใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็น และรักในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ อย่าเอาแต่มองว่าคนอื่นดีกว่าตัวเองหรือบริษัทอื่นดีกว่าบริษัทที่ตัวเองทำ แต่ต้องมองให้ทะลุว่าตัวเองก็มีคุณค่า และบริษัทตัวเองก็มีจุดแข็งมากมาย
เมื่อมองเห็นจุดนี้ก็จะมองออกว่าจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นได้อย่างไร และจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทได้ด้วยอะไร
...ติดตามเคล็ดลับข้อต่อไปในฉบับหน้าครับ ...