เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ ใครกันที่เสี่ยงต่อภัยไซเบอร์?
ภัยไซเบอร์หรือปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในปัจจุบันมีจำนวนมากและมูลค่าความเสียหายมหาศาล ระหว่าง 1 มีนาคม 2565-30 มิถุนายน 2567 พบว่ามีการแจ้งความผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมด 575,507 เรื่อง
คดีที่แจ้งผ่านเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com และสายด่วน 1441 คิดเป็นประมาณ 77% ของคดีทั้งหมด มูลค่าความเสียหายคดีออนไลน์รวมกว่า 65,715 ล้านบาท เฉลี่ยความเสียหายวันละกว่า 80 ล้านบาท
อาชญากรรมทางเทคโนโลยีมีหลากหลายรูปแบบ เช่น การส่งข้อความหลอกให้เหยื่อหลงเชื่อว่าเป็นผู้โชคดีแล้วให้แอดไลน์ เพื่อให้เหยื่อส่งข้อมูลส่วนบุคคล
มิจฉาชีพจะนำข้อมูลนี้ไปใช้ดำเนินการในทางที่ผิดแล้วก่อให้เกิดความเสียหาย การหลอกให้รักแล้วลงทุน (romance scammer) การหลอกให้กดลิงก์หรือติดตั้งแอปดูดเงิน การขโมยรหัสผ่านโดยการหลอกให้กรอกข้อมูลผ่านลิงก์หลอกลวงและการหลอกให้โอนเงินจากความกลัว
การใช้งานอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือของประชากรไทยมีสัดส่วนสูงมาก จึงถือได้ว่าประชากรไทยเกือบทั้งหมดเป็นประชากรเสี่ยงต่อภัยไซเบอร์
การสำรวจประชาชนอายุ 6 ปีขึ้นไป ประมาณ 65.9 ล้านคน มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 59.0 ล้านคน (89%) ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 62.9 ล้านคน (95%) ไม่แตกต่างมากนักระหว่างในเขตเทศบาล (97%) และนอกเขตเทศบาล (94%) ประชากรไทยใช้สมาร์ตโฟน 96% ในส่วนของผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปใช้สมาร์ตโฟน 84% และฟีเจอร์โฟน (feature phone) 16%
การสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยปี 2565 แสดงให้เห็นว่า ประชากรไทยใช้อินเทอร์เน็ตโดยเฉลี่ย 7 ชั่วโมง 4 นาที ต่อวัน ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด ประชากรตั้งแต่อายุ 6 ปีขึ้นไปจนถึงอายุ 59 ปีใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า 90% ส่วนผู้สูงอายุเกินกว่าครึ่งใช้อินเทอร์เน็ต (62%)
การสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยปี 2565 พบว่า 13% มีปัญหาการถูกหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ส่วนมากของเหยื่อคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นผู้หญิงอยู่ในวัยทำงาน (64%) ซึ่งอาจเป็นเพราะคนกลุ่มนี้นิยมซื้อสินค้าและบริการออนไลน์
นอกจากนี้ คดีผู้ที่ถูกมิจฉาชีพหลอกลวง ระหว่างปี 2565- มิ.ย.2567 มีจำนวนสูงถึง 279,943 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุวัยเกษียณ (62%) ซึ่งมีเงินเก็บ เช่น เงินบำนาญ กองทุน เบี้ยผู้สูงอายุ
การที่ผู้สูงอายุต้องอยู่ลำพังในช่วงเวลากลางวันที่ลูกหลานไปทำงานและการติดโทรศัพท์มือถือและโซเชียลมีเดีย ทำให้ผู้สูงอายุถูกหลอกลวงเนื่องจากอาจขาดความรู้ทางเทคนิคในการใช้โซเชียลมีเดีย ไว้ใจคนง่ายและอาจจะมีฐานข้อมูลที่มิจฉาชีพเข้าถึงได้ง่าย จึงตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพและสูญเสียทรัพย์สิน
เด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มเปราะบางที่ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ บทเรียนจากคดีที่เด็กชายอายุ 15 ปีถูกหลอกลวงให้ลงทุนซื้อสินค้าเพื่อทำยอดส่วนแบ่งรายได้ โดยแอบถอนเงินของพ่อแม่ไปจำนวน 15,000 บาท แต่ผลไม่เป็นไปตามเป้าหมายจนเกิดความเครียดและฆ่าตัวตาย
แม้ว่าจำนวนทรัพย์สินที่เสียหายไม่มาก แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อครอบครัวไม่อาจประเมินค่าได้
พ.ต.อ.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผู้กำกับกลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต ขอให้พ่อแม่และผู้ปกครอง สังเกตว่าผู้ไม่หวังดีนั้น “หลอกจะให้เงิน เชิญเป็นดารา ชวนให้แก้ผ้า ท้าให้เปิดกล้อง” หากเข้าข่ายนี้เป็นไปได้สูงว่า เด็กและเยาวชนอาจจะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ
สัดส่วนประชากรที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและมีโทรศัพท์มือถือที่สูงถึงกว่า 90% ทั้งในเขตเทศบาลและนอกเขตเทศบาล อาจเป็นตัวชี้วัดเศรษฐฐานะที่ดีขึ้นของประชากร เพราะสามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐและบริการต่างๆ ได้สะดวก
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือในชีวิตประจำวันของประชากรในทุกช่วงวัย ทั้งเด็ก เยาวชน บุรุษ สตรีและผู้สูงอายุ อาจกลายเป็นความเสี่ยงต่อภัยไซเบอร์
ดังนั้น การรู้เท่าทันอุบายของมิจฉาชีพผ่านเทคโนโลยีการสื่อสารเหล่านี้ จึงจะช่วยให้รอดปลอดภัยจากมิจฉาชีพ.
ที่มาบทความ : จดหมายข่าวประชากรและการพัฒนา ต.ค.-พ.ย.2567 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล สามารถดาวน์โหลดฟรี https://ipsr.mahidol.ac.th/wp-content/uploads/2024/10/PopDev-Vol45-No1.pdf