ขยะแลกน้ำมัน ไอเดียกู้วิกฤติน้ำมันแพง-ตอบโจทย์ซีโร่เวสต์
NIA พาชมโซลูชั่น “น้ำมันไพโรไลซิสที่ผลิตจากขยะ” แก้ปัญหาขยะล้นเมืองมาเป็นน้ำมันที่ใช้กับมอเตอร์ไซด์ เครื่องตัดหญ้า เครื่องสูบน้ำ เตาเผาศพ ฯลฯ นวัตกรรมช่วยชาวบ้านในชุมชนไม่ง้อน้ำมันดีเซลราคาแพง
การผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงทดแทนจากขยะพลาสติก เป็นหนึ่งในโซลูชั่นที่ช่วยกู้วิกฤติน้ำมันแพง และยังช่วยลดปัญหาขยะมูลผอยล้นเมือง เนื่องจากผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ในปัจจุบันมีสารประกอบไฮโดรคาร์บอนประเภทเดียวกับที่อยู่ในน้ำมันปิโตรเลียมแฝงตัวอยู่ 50-60% ขยะพลาสติกจึงเป็นวัตถุดิบแหล่งใหญ่ที่สามารถแปรรูปกลับไปเป็นน้ำมันได้
ทั้งนี้ พลาสติกจัดเป็นขยะที่ย่อยสลายได้ยากตามธรรมชาติ ซึ่งประเทศไทยมีปริมาณขยะพลาสติกมากถึง 2 ล้านตันต่อปี แต่ถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์เพียง 0.5 ล้านตันต่อปี จึงเป็นการเสียโอกาสด้านการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงยังก่อให้เกิดปัญหาขยะมูลฝอยล้นเมือง
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) อาสาพาชมผลงานจาก 2 นวัตกร ผู้เห็นคุณค่าของขยะพลาสติก ที่คิดค้นและออกแบบเครื่องกำจัดขยะพลาสติกเป็นน้ำมันไพโรไลซิสสำหรับใช้ในชุมชน จนไม่ต้องง้อน้ำมันดีเซลราคาแพง
ยุทธการ มากพันธุ์
- คนไทยสายเลือดนักวิทย์ ผู้สร้างเครื่องกำจัดขยะเป็นน้ำมัน
ยุทธการ มากพันธุ์ ผู้จัดการศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ ท่ามะขาม ทดลองประดิษฐ์เครื่องผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกด้วยกระบวนการไพโรไลซิส เพื่อการกำจัดขยะพลาสติกให้เป็นศูนย์ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์กับชุมชน ชาวบ้าน และเกษตรกร โดยได้ออกแบบ “เครื่องปฏิกรณ์ไพโรไลซิสขนาดเล็ก” สามารถนำไปใช้ในชุมชน ชาวบ้านสามารถประดิษฐ์ใช้เองได้จากวัสดุเพียงไม่กี่ชิ้น แต่มีความปลอดภัย และใช้งานได้จริง แถมไม่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
เครื่องผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกเป็นเครื่องจักรขนาดเล็กที่มีต้นทุนการผลิตที่ไม่แพง ทุกชุมชนสามารถมีไว้ใช้ได้ โดยเริ่มจากการนำขยะพลาสติกใส่ลงในถังเหล็กหรือถังปฏิกรณ์สเตนเลสที่มีคุณภาพ ทนทานจากแรงดันและการกัดกร่อนของวัตถุจากนั้นปิดฝาให้สนิท ก็จะเกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนของแข็งเป็นของเหลว ก่อนที่จะระเหยเป็นไอเพื่อลำเลียงไปควบแน่นในชุดควบแน่น แล้วกลั่นออกมาเป็นน้ำมันเกรดต่าง ๆ
ทั้งดีเซล เบนซิน และแก๊ส สำหรับใช้ทำความร้อนในตัว ซึ่งกระบวนการทั้งหมดเป็นไพโรไรซิสแบบไม่มีแรงดัน เน้นเอาของที่เหลือจากการกำจัดเผาทำลายในหัวเบิร์นเนอร์ให้หมด ไม่ให้สารไดออกซินหลงเหลืออยู่ในสภาพแวดล้อม เพื่อป้องกันความปลอดภัย
ปราสิทธิ์ พงษ์นุเคราะห์ศิริ
- ไพโรไลซิส ทดแทนดีเซลอย่างไร?
ทางด้าน ปราสิทธิ์ พงษ์นุเคราะห์ศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซินฮวดเฮง นวัตกรรม จำกัด ทำการศึกษา “งานวิจัยเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติกผ่านกระบวนการไพโรไลซิส” โดยเริ่มจากการทดลองภายในองค์กรถึง 2 ปี กว่าจะสามารถ “ผลิตเครื่องกำจัดขยะที่ย่อยสลายได้ยากอย่างพลาสติกและโฟม” จากที่ต้องใช้เวลาย่อยสลายยาวนาน 300 - 1000 ปี ให้เหลือเพียง 1 วัน ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าไปบริหารจัดการเปลี่ยนขยะเป็นน้ำมันสำหรับใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและเครื่องมือการเกษตร
ปราสิทธิ์ กล่าวว่า เครื่องกำจัดขยะเป็นน้ำมันที่มีขายในท้องตลาดจะผลิตน้ำมันไพโรไลซิสออกมาเป็นน้ำมันดำสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมทั่วไปเท่านั้น นวัตกรรมจึงถูกจำกัดใช้แค่เฉพาะบางพื้นที่ แต่ขยะมีอยู่กระจายทั่วประเทศ ถ้าหากปรับไอเดีย ทำสเกลให้อยู่ในท้องถิ่นได้ คนในพื้นที่ก็จะได้ประโยชน์จากผลลัพธ์การเปลี่ยนขยะพลาสติกเป็นน้ำมัน ซึ่งน้ำมันไพโรไลซิสที่ได้จากการทดลองเมื่อผ่านกระบวนการกลั่นก็จะแยกเป็นดีเซล และเบนซินที่มีคุณภาพใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนได้
จึงออกแบบเครื่องผลิตใน 1 แทงค์ ให้มี 2 กระบวนการ คือ เปลี่ยนโมเลกุลของขยะพลาสติกและโฟมให้มีขนาดเล็กลงด้วยอุณหภูมิความร้อน 300 - 500 องศาเซลเซียส ในสภาพที่ไร้ออกซิเจน ผลผลิตที่ได้รับ คือ น้ำมันไพโรไลซิสและแก๊สสำหรับวนกลับเข้าไปใช้เป็นเชื้อเพลิงให้ความร้อนหมุนเวียนในระบบ ส่วนอีกกระบวนการจะใช้ไพโรไลซิสที่ได้ไปกลั่นโดยอุณหภูมิจุดเดือดจนแยกตัวเป็นดีเซล และเบนซิล ซึ่งจะช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงจากภายนอกได้ถึง 95%
“โครงการให้ชาวบ้านนำขยะมาแลกน้ำมันที่ได้จากการกำจัดขยะไปทดลองใช้ โดยขยะพลาสติกในครัวเรือน 7 กิโลกรัมจะแลกดีเซลสำหรับใช้กับรถรอบต่ำ เช่น รถไถนา รถแทรคเตอร์ได้ 1 ลิตร ขยะพลาสติก 8 กิโลกรัมจะแลกเบนซินที่ผสมเอทานอลแล้วได้ 1 ลิตร สำหรับนำไปใช้กับมอเตอร์ไซด์ หรือเครื่องตัดหญ้า เครื่องสูบน้ำได้ ทั้งนี้ การที่ประชาชนได้เอาน้ำมันไปใช้ประโยชน์ด้วยวิธีใดก็ตามถือเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายอย่างหนึ่ง”
เครื่องกำจัดขยะ
- รัฐต้องช่วยสนับสนุนเทคโนโลยีในชุมชนเพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์
ยุทธการ กล่าวเสริมว่า แม้น้ำมันที่ได้จากขยะพลาสติกจะสามารถนำไปใช้งานได้จริงทั้งในเครื่องยนต์รอบต่ำสำหรับการเกษตร เตาเผาศพของวัดในชุมชน และเตาน้ำมันให้ความร้อนสำหรับการทอดต้มในโรงงาน
ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับเกษตรกรและชาวบ้านแล้ว ยังช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกที่มีอยู่จำนวนมากในชุมชนได้อีกด้วย แต่ที่ผ่านมายังไม่สามารถต่อยอดและนำไปขยายผลในเชิงพาณิชย์ได้ เนื่องจากติดปัญหาเกี่ยวกับข้อกฎหมาย และขาดการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐ ทำให้ทุกวันนี้ยังไม่สามารถซื้อขายได้ เพราะยังมีกำลังการผลิตน้อย
ปัญหาของไพโรไลซิส คือ คนลงทุนไม่มีเทคโนโลยีของตัวเอง และไม่มีคนควบคุมที่เข้าใจและชำนาญ ทำให้กระบวนการถูกฟรีซไว้ ทั้งที่ประเทศไทยมีความรู้เรื่องไพโรไลซิสเป็นลำดับต้น ๆ ของโลกไม่แพ้ประเทศจีน
“วันนี้เราใช้น้ำมันดีเซลทำหลายอย่าง ซึ่งต้องรู้จักจำแนกใช้งานตามความเหมาะสม เครื่องยนต์คูโบต้าความซับซ้อนไม่เยอะสามารถใช้น้ำมันผลิตเองได้ ส่วนรถวิ่งทางไกลก็ซื้อน้ำมันมาเติม ขยะพลาสติก 100 กิโลกรัม ผลิตน้ำมันได้ 80 ลิตร มีต้นทุนในการผลิตอยู่ที่ลิตรละ 11 บาท ถ้าทุกฝ่ายร่วมกันสนับสนุนจะช่วยลดปัญหาของประเทศได้มหาศาล ภาครัฐควรมีนโยบายส่งเสริมความรู้ให้ชาวบ้านต้องเชื่อมั่นในความสามารถของประชาชน นอกเหนือจากการใช้กฎหมายบังคับ เมื่อประชาชนเก่งปฏิบัติ ได้นักวิชาการที่มีองค์ความรู้มาช่วยสอน การผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงทดแทนไว้ใช้เองในชุมชนจึงไม่ใช่เรื่องยาก”
ทั้งนี้ ยุทธการ มองว่า การจะทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงทดแทนจากขยะพลาสติกเกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ ต้องมีวิธีการได้มาของน้ำมันที่แตกต่างจากเดิม ไม่ใช่การผลิตน้ำมันเพื่อไปจำหน่ายแข่งกับองค์กรยักษ์ใหญ่ และต้องไม่คิดถึงภาพโรงงานใหญ่ ๆ มีรถขยะ เครื่องคัดแยกใหญ่โต เพราะจะกลายเป็นแหล่งมลพิษทำลายสิ่งแวดล้อม ถ้าหากองค์กรใหญ่อยากซื้อ ก็ควรส่งเสริมให้ในชุมชนทำแล้วใช้รถน้ำมันวิ่งไปรับ ทุกคนก็จะมีส่วนร่วมในกระบวนการผลิต เป็นเจ้าของโรงงานน้ำมันดิบได้เหมือนกัน ไม่ใช่แค่องค์กรใหญ่เจ้าเดียว
หาก 1 หมู่บ้านมี 1 เครื่อง ก็จะสามารถผลิตน้ำมันได้ประมาณวันละ 200 ลิตร หนึ่งอำเภอมีหลายร้อยหมู่บ้าน ถือเป็นการเปลี่ยนโลก เกิดการจ้างงาน เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ตอบโจทย์ความก้าวหน้าของประเทศ ลดวงจรย่อยสลายพลาสติกโฟม จากพันปีสู่ 1 วัน กับการสร้างน้ำมันเพื่อใช้ในโรงงาน