พระเอกพืชสมุนไพรไทย จากยาดมถึงสารสกัดมูลค่าสูง
สมุนไพรไทยที่ติดลมบนสร้างมูลค่าในตลาดลูกค้าวัยรุ่นปัจจุบัน คือยาดมสมุนไพรบรรจุกระปุก ที่ได้รับความนิยมจากการมีผู้ใช้อย่างดารานักร้องเกาหลีชื่อดังหลายราย เป็นสมุนไพรแบบแปรรูปอย่างหยาบ (herbal substance) ที่พกง่ายใช้สะดวก
รายงานด้านวิจัยตลาดของ Nielsen Thailand พบว่าตลาดยาดมมีมูลค่าสูงถึง 4,500 ล้านบาทต่อปี ยิ่งมีกระแสการบริโภคในลักษณะที่ว่ายิ่งทำให้ตลาดโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
วัตถุดิบชิ้นส่วนพืชสมุนไพรที่ปรุงผสมอยู่ในยาดมนั้น ส่วนมากจะให้สารสำคัญในรูปของน้ำมันหอมระเหย (aromatic oils) ที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการวิงเวียน ช่วยให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย เช่น สมุลแว้ง ชะลูด พริกไทย กระวาน กานพลู อบเชย ซึ่งล้วนเป็นสมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคย
ด้วยความที่ภูมิภาคอาเซียนตั้งอยู่ในเขตชีวนิเวศ (biomes) ที่มีความหลากหลายของพรรณพฤกษชาติสูง ทำให้มีตัวเลือกของพรรณพืชเพื่อการนำมาใช้ประโยชน์อย่างหลากหลายโดยเฉพาะกลุ่มพืชสมุนไพรที่มีชื่อเสียงและมีมูลค่าสูงที่พบในประเทศไทย ซึ่งมีทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่มีความได้เปรียบ
เพราะมีทั้งส่วนภาคพื้นทวีปและส่วนของคาบสมุทรไทย ที่ได้รับผลกระทบจากลมพายุที่รุนแรงน้อยกว่าพื้นที่อื่น พรรณพืชจึงมีช่วงเวลาในการตั้งตัวและปรับตัวเพื่อการเจริญเติบโตได้ดี
กลุ่มพืชสมุนไพรไทยเรียกโดยรวมมีทั้งชนิดท้องถิ่นดั้งเดิม (native species) ซึ่งถูกนำมาใช้ในภูมิปัญญาไทยในรูป “ของป่า”หรือ “พืชป่าสมุนไพร” ที่มีการส่งต่อผ่านการบอกเล่า การบันทึก หรือมีการตั้งเป็นตำรับต่าง ๆ ไว้มาอย่างยาวนาน
และชนิดพืชสมุนไพรที่นำพันธุ์จากที่อื่นเข้ามาปลูก (exotic species) เพื่อการปรับปรุงพันธุ์ให้ได้ชิ้นส่วนวัตถุดิบ และปริมาณสารออกฤทธิ์ในเชิงพาณิชย์ตามความต้องการของตลาด
คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติได้เปิดเผยสถิติการส่งออกวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยช่วง 5 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา (พ.ศ. 2560 – 2565) พบว่ามีการสร้างมูลค่ากว่า 12,211 ล้านบาท สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน และมีมูลค่าค้าปลีกสินค้าสมุนไพรสูงเป็นอันดับ 8 ของโลก
นับว่ามีส่วนแบ่งในธุรกิจด้านสุขภาพและการแพทย์ค่อนข้างมาก ช่วยสะท้อนจุดเด่นของไทยที่จะเป็น Medical Hub จากจุดแข็งความหลากหลายของพรรณพืชสมุนไพรได้เป็นอย่างดี
การใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้วิจัยและพัฒนาต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานเพื่อจะสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างมั่นใจ และเกิดความมั่นคงของผลิตภัณฑ์ในระยะยาว
หลักการพื้นฐานที่นำมาประยุกต์ใช้คือต้อง “ถูกต้น ถูกส่วน ถูกขนาด ถูกวิธี ถูกโรค”
คำว่า ถูกต้น ถูกส่วน มุ่งเน้นถึงความเข้าใจชนิดของพืชสมุนไพรหรือในทางวิทยาศาสตร์ก็คือ “งานอนุกรมวิธานพืช” เพื่อให้แน่ใจได้ว่ามีการนำชนิดพืชสมุนไพรมาใช้ได้ถูกต้องตรงตามข้อบ่งใช้ที่เรานำมาอ้างอิง
เพราะพืชสมุนไพรแต่ละชนิดแต่ละส่วนมีสารออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน หากใช้ผิดต้น ผิดส่วน อาจเกิดความเป็นพิษให้โทษได้ จึงจะต้องมีการพิสูจน์เอกลักษณ์ของพืชทุกครั้งก่อนใช้
ส่วนอีก 3 คำ คือ ถูกขนาด ถูกวิธี ถูกโรค จะมุ่งไปที่การศึกษาวิจัยกระบวนการและการศึกษาเชิงปริมาณ เพื่อให้ทราบขนาดและปริมาณความเข้มข้นของสารสกัดหรือชนิดสารออกฤทธิ์ในหน่วยการตรวจวัดที่เป็นมาตรฐาน
เพื่อกำหนดใช้ในการบรรเทาหรือรักษาอาการของโรคต่างๆ ทั้งในระดับห้องปฏิบัติการไปจนถึงระดับคลินิกและการใช้จริงในคนหรือสัตว์ เพื่อให้ได้รับการรับรองความปลอดภัย ตามข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
ประเทศไทยผลิตและส่งออกพืชสมุนไพรทั้งในรูปแบบชิ้นส่วนวัตถุดิบและสารสกัดที่มีสารสำคัญมูลค่าสูงเป็นส่วนผสม ซึ่งผู้พัฒนายาหรือผลิตภัณฑ์จะคัดเลือกนำไปใช้ตามความต้องการในกระบวนการผลิต
วัตถุดิบและสารสกัดเหล่านี้จะมีการจัดการคุณภาพและปริมาณสารออกฤทธิ์อีกครั้งตามกระบวนการเฉพาะของแต่ละบริษัทให้ได้รูปแบบตรงตามจุดมุ่งหมายการใช้ของผลิตภัณฑ์หรือยานั้นๆ
แม้ปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีการสังเคราะห์สารเคมีเลียนแบบสารออกฤทธิ์ แต่หลายชนิดก็ต้องลงทุนสูงในการสังเคราะห์ อีกทั้งตลาดผู้บริโภคให้การตอบรับเรื่องของสารสกัดหรือสารออกฤทธิ์ที่ได้จากธรรมชาติมากกว่าด้วยสาเหตุความรู้สึกว่าปลอดภัย
ดังนั้น ความเป็นไปได้อีกทางเลือกหนึ่งที่เป็นที่นิยมก็คือ การใช้ “กระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพพืช” โดยนำชิ้นส่วนเนื้อเยื่อของชนิดพืชที่ให้สารสำคัญมาผ่านกรรมวิธีเพาะเลี้ยงและกระตุ้นให้เกิดการสร้างสารมูลค่าสูงก่อนสกัดแยกออกมาใช้ประโยชน์
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อนี้เป็นหนึ่งในกระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพพืช โดยนำชิ้นส่วนของพืชอาจจะเป็นราก ลำต้น หรือใบก็ได้ มาชักนำให้เกิดเป็นกลุ่มของเซลล์ (เรียก แคลลัส) แล้วเพิ่มจำนวนเซลล์ภายในระยะเวลาอันสั้น จะได้เซลล์ปริมาณมาก (แคลลัสที่มีขนาดใหญ่)
จากนั้นจะกระตุ้นให้เซลล์สร้างสารสำคัญที่เราสนใจ เมื่อเซลล์เหล่านั้นผลิตสารสำคัญได้ในปริมาณมากแล้ว จึงนำก้อนแคลลัสมาสกัดสารสำคัญต่อไป
วิธีนี้จึงมีประโยชน์เนื่องจากสามารถเพิ่มจำนวนเซลล์มากๆ ได้ภายในเวลาสั้น และการที่เซลล์ถูกชักนำด้วยสภาวะที่เหมาะสมพร้อมกัน จะทำให้ทุกเซลล์พร้อมใจกันผลิตสาร จะได้สารที่ต้องการในปริมาณมาก ทำให้ช่วยลดต้นทุนการผลิต และสารที่ได้มีความบริสุทธิ์สูง
เช่น การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นแพงพวยฝรั่งทำให้ได้สาร Vincristine ที่ใช้เป็นสารตั้งต้นการพัฒนายาต้านมะเร็ง Vincristine sulfate ซึ่งจากรายงานของ อย. พบว่าสารสำคัญมีมูลค่าสูงถึง 131,000,000 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว
การใช้กระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพพืชกับสมุนไพรไทยจึงนับว่าเป็นโอกาสที่จะสร้างมูลค่าได้อีกมากมาย ประเทศไทยย่อมไม่อาจตกขบวนในเรื่องนี้ เพื่อตอกย้ำว่าสมุนไพรไทยยืนหนึ่งในโลกให้ใครๆ ได้ประจักษ์ไม่เฉพาะแค่ยาดมยาหม่องเท่านั้น.