รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ อนาคตที่ใกล้กว่าที่คิด
ผมเคยคิดว่า รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ น่าจะยังคงใช้เวลาอีกนานกว่าใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันและแพร่หลายในโลก และคงอีกนานกว่าจะเข้ามาใช้ในประเทศไทยอย่างจริงจัง
ก่อนหน้านี้นับสิบปี ผมเคยมีโอกาสได้ไปดูงานที่โตโยต้า ประเทศญี่ปุ่น มีโอกาสได้เห็นวิสัยทัศน์เมืองและการขนส่งในอนาคต ซึ่งทางโตโยต้าได้จำลองภาพเคลื่อนไหวให้เห็นเหมือนในภาพยนตร์อนาคต
การเดินทางจะเกิดขึ้นแบบไร้รอยต่อทุกโหมดการขนส่งด้วยระบบที่ทุกอย่างเป็นอัตโนมัติ เราไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของยานยนต์ แต่เช่าใช้เฉพาะเวลาเมื่อต้องการ โดยรถยนต์จะขับเองมารับหน้าบ้านตามสั่ง
หลังจากนั้นก็ได้เห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการนำมาทดลองใช้จริงเป็นระยะๆ ล่าสุดเห็นข่าวที่สะท้อนเป็นสัญญาณอ่อนๆ (weak signal) ว่ารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติกำลังใกล้เป็นความจริงมากขึ้นทุกขณะ
ล่าสุด Waymo ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ได้มีการรายงานว่าสามารถให้บริการ Robotaxis เพิ่มมากเป็นถึง 100,000 เที่ยวต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจากเพียง 50,000 เที่ยวเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
Waymo เป็นโครงการพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติที่เริ่มจาก Google และต่อมาได้แยกตัวออกมาเป็นบริษัทภายใต้ Alphabet หลังจากที่ได้ทำการพัฒนามากว่าสิบปี Waymo ได้เริ่มทดลองขับในถนนสาธารณะ โดยมีคนเข้าร่วมเป็นผู้โดยสารทดสอบ
แต่ในช่วงแรกยังคงต้องมีผู้ขับขี่สำรองนั่งอยู่ในรถเพื่อความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 Waymo ได้ให้บริการในรูปแบบที่ไม่ต้องมีผู้ขับขี่สำรอง และในปีที่ผ่านมา บริษัทยังได้ขยายบริการเป็นเชิงพาณิชย์ภายใต้ชื่อ “Waymo One”
ปัจจุบัน Waymo ให้บริการรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติในเมืองฟีนิกซ์และซานฟรานซิสโก โดยผู้ใช้งานสามารถเรียกใช้บริการได้ผ่านแอปพลิเคชันเช่นเดียวกับการเรียกแท็กซี่ทั่วไป
ยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแบ่งเป็น 6 ระดับ ตั้งแต่ระบบช่วยขับบางส่วน (Level 2) ไปจนถึงระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Level 5) ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพัฒนา
ทุกวันนี้ ผู้ขับรถยนต์รุ่นใหม่ในท้องตลาดปัจจุบันมักมีระบบช่วยขับที่เข้าข่าย Level 2 ซึ่งรถสามารถควบคุมการบังคับทิศทางและความเร็วได้ แต่ผู้ขับขี่ยังต้องคอยตรวจสอบและเตรียมพร้อมเข้าควบคุมทันที
บางบริษัท เช่น Audi และ Honda ได้เปิดตัวระบบที่สามารถเข้าข่าย Level 3 ในบางประเทศ เช่น Audi A8 ที่สามารถขับเคลื่อนได้ในสถานการณ์เฉพาะ เช่น การขับในจราจรที่ติดขัดอย่างมาก
ส่วนบริษัท Waymo และ Cruise กำลังทดสอบและเริ่มให้บริการยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติที่อยู่ในระดับ Level 4 ในบางเมือง ปัจจุบันยังไม่มีรถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนในระดับ Level 5 ได้อย่างสมบูรณ์
ในอนาคต เมื่อรถยนต์อัตโนมัติใช้อย่างแพร่หลาย บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถแท็กซี่ รถบัส และรถไฟ อาจถูกเปลี่ยนเป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติทั้งหมด ยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติจะช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์
การใช้งานเทคโนโลยี AI และการสื่อสารระหว่างรถยนต์แบบ Vehicle-to-Vehicle (V2V) หรือ Vehicle-to-Infrastructure (V2I) จะทำให้รถยนต์สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ การขับขี่จะปลอดภัยยิ่งขึ้น
ในอนาคต คนจึงไม่จำเป็นต้องซื้อรถยนต์เป็นของตนเองอีกต่อไป (Mobility as a Service หรือ MaaS) บริการยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบแชร์จะเป็นที่แพร่หลาย ผู้คนจะสามารถเรียกรถได้ทันทีผ่านแอปพลิเคชัน และจ่ายเงินตามการใช้งานจริง เมื่อลดปริมาณรถยนต์บนท้องถนน ทำให้มลภาวะทางอากาศลดลงและเพิ่มพื้นที่ในเมืองจากการลดพื้นที่จอดรถ
ระบบอัตโนมัติจะทำให้การขนส่งสินค้ามีความรวดเร็วและต่อเนื่องยิ่งขึ้น ไม่จำเป็นต้องพักหรือหยุดเดินทาง โครงสร้างพื้นฐานของเมืองก็จะเปลี่ยนแปลงไป
เมืองอาจเน้นไปที่การลดพื้นที่สำหรับที่จอดรถและทางหลวง และเพิ่มพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่สำหรับการเดินทางแบบยั่งยืน เช่น ทางเดินและทางจักรยาน ระบบขนส่งสาธารณะจะเชื่อมต่อกับยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเพื่อทำให้การเดินทางเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องและไร้รอยต่อมากขึ้น
การมาถึงของยานยนต์ไร้คนขับ จึงไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนวิธีการเดินทาง แต่คือการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการใช้ทรัพยากรของโลก อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของเทคโนโลยีนี้จะขึ้นอยู่กับความสามารถของเราทุกคนในการปรับตัว
ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานในภาคขนส่ง รัฐบาลที่ต้องรับมือกับการจัดการกฎระเบียบ ไปจนถึงผู้ใช้งานที่ต้องเรียนรู้และไว้วางใจในระบบ
การปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดนี้คือ กุญแจสำคัญในการเปิดประตูสู่อนาคตการเดินทางในรูปใหม่ที่ต่างจากโลกปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง.