ภาพกระจกสะท้อนอันโหดร้ายจากวิกฤตการณ์ในประเทศยูเครน
ฯพณฯ นายเยฟกินี โทมิคิน เอกอัครราชทูตรัสเซีย ประจำประเทศไทย นำเสนอบทความพิเศษย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในยูเครนเมื่อปี 2014 เพื่อความเข้าใจในสถานการณ์ปัจจุบัน
เรากลับไปดูที่ประวัติศาสตร์ล่าสุดที่เกิดขึ้นในปี 2014 ที่ประเทศตะวันตกแทบจะรับรู้ได้ในทันทีว่าการทำรัฐประหารในประเทศยูเครน ครั้งนั้น ก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่เลวร้ายตามมามากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ การให้การยอมรับทางการทูตต่อลัทธิชาตินิยมที่น่าเกลียดได้ขึ้นมา มีอำนาจนี้นั้นมีความจำเป็นหรือไม่? โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพิจารณาถึงความรู้สึกในการต่อต้านประเทศรัสเซีย และแผนการห้ามใช้ภาษารัสเซียในประเทศยูเครน และสร้างการกระทำอันป่าเถื่อนต่อใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายชาตินิยมของพวกเขา? อย่างไรก็ตามแผนการของพวกเขาได้สำเร็จลุล่วงไปอย่างรวดเร็ว
ผลที่ตามมาคือ การจู่โจมในไครเมียต่อประชากรที่เป็นชาวรัสเซียส่วนใหญ่ (มากกว่า 80%) ก่อนนั้นชาวยูเครนและชาวตาตาร์ในไครเมียนั้น อยู่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน เหตุการณ์ในตอนนั้นมีเพียงการตัดสินใจที่แหลมไครเมียจะต้องแยกตัวออกจากยูเครนเท่านั้น ที่จะช่วยป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการสังหารหมู่ในเขตพื้นที่นี้ได้
ในขณะเดียวกัน ปฏิบัติการที่เรียกว่าการปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย ก็เริ่มต้นขึ้นเพื่อต่อต้านชาวเมืองโดเนตสก์ และลูฮันสก์ (ในภูมิภาคดอนบาส) ซึ่งได้ถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนรัสเซีย ผลที่ตามมาคือ กำลังติดอาวุธของยูเครนโจมตีเมืองเหล่านี้ ซึ่งมีประชากรหลายล้านคน ผู้บริสุทธิ์ได้เสียชีวิตไปกว่า 14,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือนรวมถึงเด็กด้วย แล้วประเทศตะวันตกกำลังทำอะไรอยู่ในขณะนั้น? ใช่ครับ พวกเขาเรียกร้องให้รัสเซียเคารพข้อตกลงมินสค์ (ซึ่งรัสเซียเป็นผู้ค้ำประกัน) และประเทศตะวันตกแทบจะไม่ทำอะไรเลย เพื่อปกป้องคนรัสเซียในภูมิภาคดอนบาส จากการถูกสังหารหมู่ ไม่มีแม้แต่คำพูดที่จะประณามรัฐบาลเคียฟด้วยซ้ำ และเมินเฉยต่อพวกนีโอนาซีในประเทศยูเครน สำหรับผู้ที่ยังสงสัยในข้อเท็จจริงนี้ โปรดตรวจสอบแถลงการณ์ทางการของประเทศเหล่านี้ที่เผยแพร่ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ไม่มีใครสนใจความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับคนจากภูมิภาคดอนบาสเลย (Donbass) หรือแม้แต่มีส่วนร่วมในการรณรงค์สาธารณะเพื่อปกป้องพวกเขา ไม่มีอะไรเลย ทุกคนเงียบกริบ ทำไมน่ะหรือ? คุณอาจจะอยากถาม? เพราะพวกเขาเป็นคนรัสเซีย
ก่อนหน้านี้ เราได้เสนอการเจรจาขึ้นมาหลายครั้ง ในการปรับปรุงระบบความปลอดภัยในเชิงกลยุทธ์ ซึ่งความพยายามครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2564 เมื่อทางรัสเซียได้แจ้งฝ่ายอเมริกาและนาโต (NATO) ถึงการใช้เครื่องมือทางกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา เพื่อบรรเทาความตึงเครียดกับสหรัฐ และนาโต (NATO) แต่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรที่สำคัญตอบกลับมา ดังนั้นเมื่อเพื่อนร่วมงานของผมบอกว่าการกระทำของรัสเซียนั้นไม่ยุติธรรม และไร้เหตุผลนั้น พวกเขากำลังทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิด การกระทำของนาโต (NATO) ทำให้ปฏิกิริยาของรัสเซียนั้นมีเหตุผล และเกิดจากความยั่วยุ
หากดูปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น นั้นยังมีปัญหามากมายที่หยั่งรากลึกและเพื่อรับประกันว่าสหรัฐอเมริกายังคงรักษาสถานะมหาอำนาจระดับโลก และภาพลักษณ์ที่น่าดึงดูดใจของสัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตยไว้ได้ พวกเขาจะต้องทำให้ประเทศอื่นๆ ดำเนินชีวิตให้แย่ลงไปอีก แล้วพวกเขาจะบรรลุเป้าหมายนั้นได้อย่างไร? นั่นคือ การสร้างความไม่มั่นคงในภูมิภาคต่างๆ ของโลก โดยเหตุการณ์ความไม่มั่นคงนั้นควรอยู่ห่างจากพรมแดนสหรัฐอเมริกาให้มากๆ ซึ่งความพยายามครั้งแรกนั้นพุ่งเป้าไปที่กลุ่มประเทศที่ร่ำรวยที่มีแหล่งพลังงานในตะวันออกกลาง
ตอนนี้ยุโรปมีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในระยะยาวคือ การตัดความสัมพันธ์ที่เคยเป็นประโยชน์ร่วมกันในระบบเศรษฐกิจระดับบนของประเทศในยุโรป กับประเทศรัสเซีย ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซรายใหญ่รายหนึ่งของโลก พลเมืองยุโรปจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับรัฐบาลของพวกเขาเมื่อถึงเวลาจ่ายค่าพลังงานในประเทศของเขา และสหภาพยุโรปกำลังส่งเสริมผลประโยชน์ของใคร คุณอาจจะจำได้ว่าอเมริกาพยายามหยุดยั้งโครงการท่อส่งก๊าซที่เรียกว่า Nord Stream 2 และบังคับให้ชาวยุโรปซื้อก๊าซที่มีราคาแพงกว่าของอเมริกาไว้อย่างไร พวกเขาจะต้องทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ และเพื่อรับประกันว่าผลลัพธ์นี้จะเกิดขึ้นจริง อเมริกาจึงจำเป็นต้องทำให้ยูเครนลุกเป็นไฟ และทำสงครามต่อไป นี่คือ เหตุผลที่พวกเขาให้อาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารทุกประเภทแก่รัฐบาลเคียฟ และมอบความช่วยเหลือทางทหารมูลค่าสี่หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน (โดยปกติพวกเขาจะลืมไปเกี่ยวกับความต้องการของผู้เสียภาษี) มันไม่ใช่เรื่องที่จะเรียกร้องหาสันติภาพโดยการจัดหาอาวุธโจมตีจำนวนมากไปพร้อมๆ กันใช่หรือไม่? วิธีเดียวที่จะยุติวิกฤตินี้ได้คือ หยุดเทน้ำมันลงในกองไฟ
ในรัสเซียพวกเราเข้าใจสิ่งนี้ดี เราเห็นได้ชัดว่าใครได้กำไรจากสถานการณ์แบบนี้ ให้ดูรายได้ของผู้มีสัญญารับงานกับเพนตากอน พวกเขาพยายามวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนเส้นทางแหล่งพลังงานและใช้วิธีการโจรกรรมเงินกับทุนสำรองครึ่งหนึ่งของประเทศรัสเซีย (จำนวนมหาศาลถึงสามแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่จะขโมยไปจากเรา และเป็นการกระทำที่ปราศจากหลักการของสหรัฐ? และจะมีใครกล้าตั้งคำถามเหล่านี้กับอเมริกา ก็มีแค่รัสเซีย และประเทศอื่นๆ อีกไม่กี่ประเทศเท่านั้น บางที นี่อาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสงครามด้านข่าวสารจากทั่วโลกจึงได้เกิดขึ้นกับประเทศของเราในตอนนี้ เหตุการณ์แบบนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เมื่อรัสเซียได้เริ่มต้นเตือนประเทศอื่นๆ เกี่ยวกับผลเชิงลบในความพยายามทางการเมืองของสหรัฐ เช่น การขยายสมาชิกนาโต (NATO) อย่างไม่หยุดยั้ง (แม้ตอนนี้คุณก็คงเห็นข่าวรายวันเกี่ยวกับประเทศสวีเดนและฟินแลนด์) หรือการสร้างกองทัพในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ในรูปแบบของกลุ่มสนธิสัญญาความมั่นคง AUKUS
วิธีการในการทำสงครามข้อมูลข่าวสารต่อประเทศรัสเซีย นั้นค่อนข้างเรียบง่าย ทำให้รัสเซียต้องอับอายและกล่าวโทษทุกอย่างที่รัสเซียทำ ห้ามสื่อรัสเซียเสนอข่าว ขับไล่เราออกจากองค์กรระหว่างประเทศ (ให้มากที่สุด) เพื่อไม่ให้ผู้อื่นได้ยินความคิดเห็นของเรา สร้างภาพลบต่อทุกสิ่งที่จัดขึ้นในประเทศรัสเซีย (คุณอาจจะจำการรายงานข่าวอย่างดุเดือดในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่เมืองโซชิ (Sochi Olympics) ในปี 2014 หรือ FIFA World Cup ในปี 2018) โดยการทำให้ชาวรัสเซียเสียชื่อเสียง (ไม่ว่าจะเป็นตัวนักกีฬา นักดนตรี หรือแม้แต่นักเขียนแนวคลาสสิกที่มีชื่อเสียง) สำหรับทางการเมืองของตะวันตกไม่เพียงแต่สร้างความน่ากลัวของประเทศรัสเซีย (Russophobia) ให้เป็นเครื่องมือในการแสดงออกเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการเอาชีวิตรอดอีกด้วย
ตอนนี้ผมยังได้เห็นความพยายามที่จะกล่าวหาว่า ประเทศของผมได้ก่อให้เกิดผลร้ายต่อประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างปัญหาต่อระบบราคาของอาหาร การสร้างวิกฤติในเศรษฐกิจโลกเป็นต้น ทำให้รายการบาปของเราไม่มีที่สิ้นสุด ผมคงจะไม่แปลกใจเลยหากบทความที่คล้ายกันของเพื่อนร่วมงานชาวตะวันตกนั้นสร้างเรื่องเกี่ยวกับการโจมตีประเทศอื่นๆ จะได้รับการตีพิมพ์ในสื่อของประเทศที่เกี่ยวข้อง ด้วยนโยบายปัจจุบันของสหรัฐ และสหภาพยุโรปจะยิ่งทำให้มีปัญหามากขึ้นไปอีก การกระทำของพวกเขานั้นมีมานาน ไม่ได้เกิดขึ้นโดยประเทศรัสเซีย เห็นได้ชัดว่าห่วงโซ่อุปทานจะหยุดชะงักลงอีก อาจเกิดการล้มละลายของสายการบินต่างๆ วิกฤติพลังงานจะรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่นำมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียมาใช้ วิกฤติด้านอาหารนั้นมีความเป็นไปได้สูงมาก ปัญหาทางการเงิน และสภาพคล่อง คาดว่าความขัดแย้งที่เคยหยุดอยู่นั้นจะลุกเป็นไฟอีกครั้ง ผู้ก่อการร้ายในที่ต่างๆ ของโลกคงผงาด โรคระบาดครั้งใหม่น่าจะเป็นไปได้ด้วยความพยายามของสหรัฐ ที่จะทำลายองค์การอนามัยโลก สถาบันธรรมาภิบาลระหว่างประเทศจะล่มสลายต่อไป การรวมกลุ่มของพันธมิตรสามารถเกิดขึ้นมาใหม่ได้ ในขณะที่องค์กรระดับภูมิภาคเช่น อาเซียนอาจจะล้มเหลวไป กลุ่มตะวันตกที่นำโดยสหรัฐ จะเริ่มต้นสมรภูมิทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบโลกรวมถึงการค้าของโลกตามความต้องการของตน และตามมาตรฐานของตนโดยไม่สนใจเอกลักษณ์ประจำชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และประเพณีทางศาสนาในประเทศอื่นๆ การกระทำดังกล่าวสร้างขึ้นเพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่า ระเบียบโลกตามกฎของตน คำถามง่ายๆ คือ ใครเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ และประเภทของกฎต่างๆ ระเบียบนี้มีความคล้ายคลึงกันกับระบบการบริหารงานแบบอาณานิคมมากกว่าการเคารพผลประโยชน์ของทุกประเทศ
เราและเพื่อนร่วมงานชาวตะวันตกสามารถวิเคราะห์ความคิดเห็นของสาธารณชนในประเทศไทยได้ และเราเห็นสิ่งที่ผู้คนคิดอย่างแท้จริง ในสถานการณ์ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ที่เงียบไม่ต้องการที่จะเข้าสู่ข้อพิพาทที่ไม่มีประโยชน์กับชนกลุ่มน้อยที่ก้าวร้าว เสียงดัง และส่งเสียงออกมา
ดังนั้น การส่องกระจกดูตัวเองให้บ่อยขึ้นอาจเป็นประโยชน์ก็ได้
ฯพณฯ นายเยฟกินี โทมิคิน (Evgeny TOMIKHIN)
เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์