สุราบายาประสบความสำเร็จ เพาะพันธุ์มังกรโคโมโด
ขึ้นชื่อว่าสัตว์เลื้อยคลานหลายคนเห็นเข้าก็ต้องผวา แม้จะตัวเล็กตัวน้อยกว่ามนุษย์ก็เถอะ เจอจิ้งจก ตุ๊กแก กิ้งก่า จิ้งเหลน เป็นต้องร้องกรี๊ด ยิ่งตัวใหญ่ๆ อย่างตัวเงินตัวทองยิ่งไปกันใหญ่ แล้วถ้าเจอเจ้ามังกรโคโมโดเข้าล่ะจะทำยังไง
รู้หรือไม่ตอนนี้สวนสัตว์แห่งหนึ่งในอินโดนีเซียทำโครงการเพาะพันธุ์มังกรโคโมโดในกรงเลี้ยง ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาได้ลูกน้อยมาหลายสิบตัวแล้ว
ตะกวด ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่พบเฉพาะที่อุทยานแห่งชาติโคโมโดมรดกโลก และเกาะโฟลเรสที่อยู่ใกล้เคียงเท่านั้น ประเมินว่ามีมังกรโคโมโดโตเต็มวัย และลูกเหลืออยู่ในป่าเพียง 3,458 ตัว
สัตว์เลื้อยคลาน หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวชนิดนี้เมื่อโตเต็มที่อาจยาวได้ถึงสามเมตร น้ำหนักมากถึง 90 กิโลกรัม แต่กิจกรรมของมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำลายถิ่นที่อยู่ของพวกมัน
สุราบายา เมืองใหญ่อันดับสองของอินโดนีเซียจึงทำโครงการเพาะเลี้ยงเพื่อเพิ่มจำนวนประชากรโคโมโดซึ่งประสบความสำเร็จ ระหว่างเดือนก.พ.และมี.ค. ฟักออกมา 29 ตัว งานนี้ไชรุล อันวาร์ ผู้อำนวยการสวนสัตว์ดีใจสุดๆ
“เราทำที่อยู่ให้เหมือนกับที่อยู่ธรรมชาติทั้งอุณหภูมิ และความชื้น” ผอ.สวนสัตว์เผยเคล็ดความสำเร็จ
ลูกโคโมโดเหล่านี้เกิดจากแม่โคโมโดสองตัวที่เจ้าหน้าที่นำไข่มาวางไว้ในตู้ฟัก เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกแม่หรือมังกรโคโมโดตัวอื่นๆ กิน ซึ่งมังกรโคโมโดตัวเมียสามารถออกไข่ได้โดยไม่ต้องอาศัยมังกรเพศผู้
สุราบายานั้นตั้งอยู่ห่างจากถิ่นที่อยู่โดยธรรมชาติของโคโมโดกว่า 700 กิโลเมตร
สวนสัตว์แห่งนี้เริ่มทำโครงการมาตั้งแต่ทศวรรษ 90 ส่วนหนึ่งของความพยายามอนุรักษ์โคโมโด ปีก่อนสหภาพสากลเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติเตือนว่า ในอีก 45 ปีข้างหน้าถิ่นที่อยู่ของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดนี้จะลดลง 30% เนื่องจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
ผอ.สวนสัตว์เล่าว่า ปีนี้หลังจากลูกน้อยฟักออกมาถี่ๆ ตอนนี้สวนสัตว์สุราบายามีมังกรโคโมโด 134 ตัวแล้ว ถือเป็นกลุ่มใหญ่สุดนอกถิ่นที่อยู่ในกลุ่มหมู่เกาะทางตะวันออกของบาหลี แต่มังกรโคโมโดที่สวนสัตว์สุราบายาเพาะได้ ผอ.บอกว่าจะไม่ปล่อยเข้าป่าให้อุทยานแห่งชาติโคโมโดหรือโฟลเรสจนกว่าสภาพจะดีขึ้น
“ตอนนี้เกาะโคโมโดกำลังฟื้นฟูป่า เป็นแหล่งอาหารให้กับเหยื่อธรรมชาติของโคโมโดอย่างสัตว์จำพวกกวาง ที่ตอนนี้ลดจำนวนลงเช่นเดียวกัน”
เรื่องราวของมังกรโคโมโดเป็นแค่ส่วนหนึ่งของสัตว์อีกหลายชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์เต็มที ส่วนใหญ่เป็นผลจากกิจกรรมของมนุษย์ทำลายถิ่นที่อยู่ของพวกมัน สัตว์ทุกชนิดไม่ว่าหน้าตาน่ารักหรือน่าชังล้วนเป็นการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ จึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ผู้เรียกตัวเองว่า สัตว์ประเสริฐ ต้องช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เพื่อนร่วมโลกสปีชีส์อื่นได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์