ย้อนรอยวิกฤติ “ศรีลังกา” กว่าจะมาถึงปากเหว
ชวนย้อนรอยความโกลาหลจากวิกฤติเศรษฐกิจใน "ศรีลังกา" ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมี.ค. จนถึงการบุกยึดทำเนียบประธานาธิบดี
หลายคนคงมีโอกาสได้เห็นภาพ ประชาชนจำนวนมหาศาลในศรีลังกาเข้าบุกยึดทำเนียบประธานาธิบดีช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อขับไล่ โกตาพญา ราชปักษา ประธานาธิบดีศรีลังกาคนปัจจุบัน หลังพาประเทศเข้าสู่วิกฤติทางเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
แม้ว่าวิกฤติเศรษฐกิจในศรีลังกาปะทุขึ้นจากภัยคุกคามเงินเฟ้อที่ทวีความรุนแรงในทั่วโลก อีกทั้งยังต้องเจอกับทิศทางการเคลื่อนย้ายเงินทุน ที่คอยซ้ำเติมให้เงินรูปีศรีลังกาอ่อนค่าลง และทำให้ทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงอยู่ในระดับต่ำ แต่ส่วนสำคัญที่ทำให้ศรีลังกาต้องเจอกับวิกฤติครั้งนี้ คือ การบริหารประเทศที่ผิดพลาดของรัฐบาล
- ความผิดพลาดของรัฐบาล สู่ “วิกฤติเศรษฐกิจ” ครั้งประวัติศาสตร์ศรีลังกา
วิกฤติเศรษฐกิจที่ศรีลังกาต้องเจอเกิดขึ้นจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาล โดยผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน นับตั้งแต่ชนะเลือกตั้งในปี 2562 อาทิ การลดหย่อนภาษีจำนวนมาก และการห้ามนำเข้าสินค้า มีส่วนให้ศรีลังกาพบกับวิกฤติที่เลวร้ายเช่นนี้
นอกจากนั้น เศรษฐกิจศรีลังกา ยังถูกซ้ำเติมจากวิกฤติโควิด-19 ที่ทำให้รายได้ภาคการท่องเที่ยวหดตัวลงเหลือเพียง 0.8% ต่อจีดีพี ขณะที่ก่อนวิกฤติโควิด อยู่ที่ 5% ต่อจีดีพี ส่งผลให้รายได้ในรูปเงินตราต่างประเทศลดลง
อย่างไรก็ตาม ศรีลังกา นับว่าเป็นประเทศที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจและการเงินอยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากการมีหนี้สาธารณะและหนี้ต่างประเทศรวมอยู่ในระดับสูง เมื่อต้องประสบกับวิกฤติโควิด จึงส่งผลให้ระดับหนี้โดยรวมของประเทศพุ่งขึ้นไปอีก จากข้อมูลสถิติ ณ สิ้นปี 2563 พบว่า มีหนี้สาธารณะคิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพี เท่ากับ 101% และมีหนี้ต่างประเทศต่อจีดีพีอยู่สูงราว 60.85%
- ย้อนไทม์ไลน์เหตุการณ์โกลาหล ก่อนประชาชนบุกยึดทำเนียบปธน.
เมื่อล่วงเข้าปี 2565 โลกต้องเผชิญกับภัยคุกคามเงินเฟ้อที่รุนแรงจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นในภาวะสงคราม อีกทั้งยังต้องเจอกับทิศทางนโยบายดอกเบี้ยขาขึ้น ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของเงินทุน ซึ่งตรงนี้มีผลซ้ำเติมให้ศรีลังกาเจอกับการอ่อนค่าลงของเงินรูปีเป็นอย่างมาก และทำให้ระดับทุนสำรองฯ ลดลงไปด้วย
ระดับทุนสำรองฯ ที่อยู่ระดับต่ำ จึงทำให้ไม่สามารถจัดหาสินค้านำเข้าที่จำเป็นอย่างเพียงพอต่อความต้องการของคนในประเทศได้ เป็นเหตุให้เกิดการขาดแคลนอาหารและพลังงาน เร่งระดับเงินเฟ้อให้สูงขึ้นไป และสร้างความไม่พอใจต่อให้ผู้คนทั่วประเทศ
สถานการณ์ข้างต้น นำไปสู่การรวมตัวประท้วงของประชาชนชาวศรีลังกาจำนวนมหาศาล นับตั้งแต่เดือนมี.ค. 65 ซึ่งรัฐบาลต้องประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศ โดยอ้างเพื่อรักษาความสงบภายใน อย่างไรก็ตาม กระแสความไม่พอใจของชาวศรีลังกายิ่งทวีความรุนแรงขึ้น มีการฝ่าฝืนคำสั่งของรัฐบาล ก่อให้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายตามมาอีกหลายครั้ง ซึ่งสามารถไล่ลำดับเหตุการณ์ได้ดังนี้
1 เม.ย. 65
ประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศ ท่ามกลางความไม่สงบจากประเด็นการขาดแคลนอาหารและสินค้าจำเป็น
3 เม.ย. 65
คณะรัฐมนตรีและผู้ว่าธนาคารกลางศรีลังกายื่นจดหมายลาออก
5 เม.ย. 65
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังลาออก หลังพึ่งถูกแต่งตั้งได้เพียง 1 วัน และรัฐบาลสูญเสียเสียงข้างมากในสภา
10 เม.ย. 65
ขาดแคลนยารักษาโรค รวมถึงปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ อาทิ ไฟฟ้า
12 เม.ย. 65
ผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศ 5.1 หมื่นล้านดอลลาร์
19 เม.ย. 65
เจ้าหน้าที่ตำรวจสังหารผู้ประท้วงเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีการประท้วงเกิดขึ้นในเดือนมี.ค.
9 พ.ค. 65
เกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายผู้ประท้วง
10 พ.ค. 65
กระทรวงกลาโหมศรีลังกาออกคำสั่งให้กองทัพสามารถยิงผู้ที่ก่อความไม่สงบ โดยอ้างเพื่อรักษาความปลอดภัย
10 มิ.ย. 65
UN เตือนศรีลังกาว่าอาจต้องเผชิญกับ วิกฤติแห่งมนุษยชาติขั้นรุนแรง ผู้คนหลายล้านต้องได้รับความช่วยเหลือ โดยมีรายงานว่า มากกว่า 3 ใน 4 ของประชากรทั้งหมดต้องบริโภคลดลง จากการขาดแคลนอาหารในประเทศ
27 มิ.ย. 65
รัฐบาลประกาศหยุดขายน้ำมันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อสงวนไว้ใช้เฉพาะรถงานบริการที่จำเป็น อาทิ รถโรงพยาบาล รถโดยสารสาธารณะ และรถสำหรับงานฉุกเฉินอื่นๆ
1 ก.ค. 65
สำนักงานสถิติแห่งชาติศรีลังการายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. พุ่งแตะระดับ 54.6% ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของศรีลังกา
9 ก.ค. 65
โกตาพญา ราชปักษา ประธานาธิบดีศรีลังกาได้หลบหนีไปอยู่ในพื้นที่ซึ่งไม่ถูกเปิดเผย ก่อนประชาชนศรีลังกาเข้ายึดบ้านพักที่ทำเนียบประธานาธิบดี เพื่อกดดันให้ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีลาออกในทันที
ทางด้านโกตาพญา และรานิล วิกรมสิงเห นายกรัฐมนตรีศรีลังกา ได้ให้คำมั่นสัญญากับรัฐสภาศรีลังกาไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะลงจากตำแหน่งในวันที่ 13 ก.ค. เพื่อที่จะสามารถส่งต่ออำนาจการบริหารอย่างราบรื่น
ขณะเดียวกัน ผู้ประท้วงยืนยันว่าจะยึดทำเนียบจนกว่าประธานาธิบดีจะออกจากตำแหน่งไป จึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไปว่า สถานการณ์ในศรีลังกาจะเป็นอย่างไรต่อไป
--------------------------------------------
อ้างอิง