ดาวโจนส์ปรับตัวลง 164 จุดกังวลกำไรแบงก์วูบ-เฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันจันทร์ (11ก.ค.)ปรับตัวร่วงลง 164 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเปิดเผยผลประกอบการของธนาคารขนาดใหญ่ในสัปดาห์นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 164.31 จุด หรือ 0.52% ปิดที่ 31,173.84 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 44.95 จุด หรือ 1.15% ปิดที่ 3,854.43 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 262.71 จุด หรือ 2.26% ปิดที่ 11,372.60 จุด
ราคาหุ้นทวิตเตอร์ อิงค์ ดิ่งลง 5% ในวันนี้ หลังจากที่นายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทเทสลา อิงค์ ประกาศยกเลิกข้อตกลงซื้อกิจการทวิตเตอร์ โดยอ้างว่าทางบริษัททำผิดเงื่อนไขในข้อตกลง เนื่องจากไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีปลอม
นักวิเคราะห์เชื่อว่า การที่นายมัสก์ตัดสินใจยุติข้อตกลงซื้อกิจการทวิตเตอร์มีสาเหตุจากการทรุดตัวของราคาหุ้นทวิตเตอร์ในขณะนี้ มากกว่าเหตุผลจากการที่บริษัทไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีปลอม
เนื่องจากขณะนี้ราคาหุ้นทวิตเตอร์ดิ่งลงต่ำกว่าอย่างมากเมื่อเทียบกับราคาเสนอซื้อของนายมัสก์ในเดือนเม.ย. ซึ่งขณะนั้นเขาให้ราคาหุ้นละ 54.20 ดอลลาร์ คิดเป็นวงเงิน 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.5 ล้านล้านบาท
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐในสัปดาห์นี้ ขณะที่ธนาคารขนาดใหญ่จะรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ในวันที่ 14-15 ก.ค.
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์เตือนว่าธนาคารสหรัฐจะรายงานตัวเลขกำไรในไตรมาส 2 ที่น่าผิดหวัง เนื่องจากมีการเพิ่มการกันสำรองหนี้สูญ ท่ามกลางแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งนี้ กฎระเบียบที่มีการบังคับใช้ในเดือนม.ค.2563 กำหนดให้ธนาคารต่างๆจะต้องนำปัจจัยแนวโน้มเศรษฐกิจเข้ารวมในการพิจารณากันสำรองหนี้สูญ
นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจพีมอร์แกน เชสกล่าวเตือนในเดือนที่แล้วว่า สหรัฐกำลังเผชิญพายุเฮอร์ริเคนด้านเศรษฐกิจ ขณะที่นายเจมส์ กอร์แมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า มีโอกาส 50% ที่สหรัฐจะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ข้อมูลจาก Refinitiv I/B/E/S ระบุว่า เจพีมอร์แกน เชส จะรายงานกำไรลดลง 25% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะที่ซิตี้กรุ๊ป อิงค์ลดลง 38% เวลส์ ฟาร์โกดิ่งลง 42% แบงก์ ออฟ อเมริการ่วงลง 29% โกลด์แมน แซคส์ทรุดตัวลง 51% และมอร์แกน สแตนลีย์ลดลง 17%
ทั้งนี้ เจพีมอร์แกน เชสและมอร์แกน สแตนลีย์ จะรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ในวันที่ 14 ก.ค. ขณะที่ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก จะรายงานในวันที่ 15 ก.ค. ส่วนแบงก์ ออฟ อเมริกา และโกลด์แมน แซคส์ จะรายงานในวันที่ 18 ก.ค.
นักวิเคราะห์คาดว่า เจพีมอร์แกน เชส, ซิตี้กรุ๊ป, เวลส์ ฟาร์โก และแบงก์ ออฟ อเมริกา ซึ่งเป็นธนาคารในกลุ่มบิ๊กโฟร์ของสหรัฐ จะต้องทำการกันสำรองหนี้สูญรวมกันถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ตลาดกังวลว่า ตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 372,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 250,000 ตำแหน่ง
นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนนี้ หลังการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่ง
ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 4.6% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ในการประชุมวันที่ 26-27 ก.ค. และให้น้ำหนัก 95.4% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75%
ก่อนหน้านี้ นักลงทุนเคยคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเฟดเดือนก.ค. แต่ล่าสุดตัวเลขคาดการณ์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ได้หายไป และแทนที่ด้วยคาดการณ์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00%
ขณะเดียวกัน ตลาดจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนมิ.ย.ในวันพุธ (13ก.ค.)ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าดัชนี CPI จะพุ่งขึ้น 8.8% สูงกว่าระดับ 8.6% ของเดือนพ.ค.