"สหรัฐ" เปิด 5 อาการโควิด BA.5 พบมากที่สุด
ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ สายพันธุ์ย่อย BA.5 แพร่กระจายเร็วขึ้นกว่าที่เคย ส่งผลให้อัตราการติดเชื้อในหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐสูงขึ้น ขณะที่มีกิจกรรมหลายอย่างที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้
นายแพทย์จานัก พาเทล ผู้อำนวยการกองโรคติดเชื้อและวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส เมดิคัลแบรนซ์กล่าวว่า การแพร่ระบาดโควิด-19 ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ประมาณ 82% ซึ่งส่งผลให้ผู้ติดเชื้อมีอาการแตกต่างจากการระบาดของสายพันธุ์ก่อนหน้านี้
ผู้เชี่ยวชาญได้จำแนกอาการของผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ย่อย BA.5 ที่พบมากที่สุด ดังนี้
1.อาการเจ็บคอคล้ายแผงเข็มทิ่มแทงในลำคอ
นายแพทย์เดวิด ซูเลอเลส ผู้อำนวยการคณะทำงานรับมือโควิด-19 แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เมืองเออร์ไวน์ กล่าวว่า ผู้ติดเชื้อจะมีอาการไอ ร่างกายเหมื่อยล้า ปวดศีรษะ และตามมาด้วย “อาการเจ็บคอ” ที่พบในการเฝ้าสำรวจอาการผู้ติดเชื้อมากที่สุด
2.เจ็บป่วยคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ ส่วนใหญ่อาการรุนแรงกว่า
ด้านนายแพทย์พลิทิธ ทอร์ธ แพทย์ด้านโรคติดเชื้อและนักวิจัยคลินิกเมโย ชี้ว่า สายพันธุ์นี้ทำให้ป่วยอาการคล้ายกับ “ไข้หวัดใหญ่” แต่อาการจะรุนแรงกว่าหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยเช่น อายุ ประวัติการรักษา และการติดเชื้อ
“อาการปวดหัวเรื้อรัง ไอบ่อยๆ และนอนไม่หลับ ล้วนเป็นผลจากลองโควิด ซึ่งคาดว่า 16 ล้านคนทั่วโลกจะมีอาการเสี่ยงในลักษณะนี้หลังติดเชื้อโควิดแล้ว” นายแพทย์ทอร์ธกล่าว
3.ผู้ไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด เสี่ยงอาการรุนแรงกว่า
นายแพทย์ซูเลอเลส กล่าวว่า อย่างที่ทราบกันดีว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ป้องกันอาการเจ็บป่วยที่รุนแรงได้ดีทีเดียว ทำให้ไม่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือลดอัตราเสียชีวิต ขณะนี้พบว่า "ผู้ป่วยหนักที่รักษาตัวในโรงพยาบาล ส่วนใหญ่เป็นผู้ไม่ฉีดวัคซีนโควิดเลย หรือรับวัคซีนไม่ครบโดส
“ผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีนเลยจะมีอาการป่วยที่รุนแรง เหมือนกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อเมื่อครั้งที่เรายังไม่มีวัคซีนป้องกันหรือยาแพกซ์โลวิดรักษาโรคเหมือนตอนนี้” นายแพทย์ซูเลอเลสกล่าวย้ำ
4.กลุ่มคนภูมิคุ้มกันบกพร่อง เสี่ยง BA.5
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องยังคงมีความเสี่ยงสูงต่อผลลัพธ์ที่รุนแรงเช่นกัน สำหรับในสหรัฐมีประมาณ 3% เป็นผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีภาวะสุขภาพ เช่น มะเร็งบางชนิด เบาหวาน และเอชไอวี
นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่บุคคลที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนครบโดส และเพื่อให้ทุกคนปฏิบัติตามข้อควรระวังด้านสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสัมผัสกับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
5.ความเสี่ยงสัมผัสละอองไวรัส ติดง่ายและเร็ว
การปฏิบัติตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 ย่อมส่งผลต่อสุขภาพที่ดีกว่า ทั้งการฉีดวัคซีน สวมหน้ากากอนามัย การตรวจเอทีเคก่อนเข้าร่วมกิจกรรม หรือตรวจเอทีเค 3-5 วันหลังจากที่คุณสัมผัสผู้ติดเชื้อ และกักตัวหากคุณมีอาการป่วยทันที