อียูระงับข้อตกลงวีซ่ากับรัสเซีย แต่ไม่แบนนักท่องเที่ยว
อียูเห็นพ้องระงับข้อตกลงอำนวยความสะดวกเรื่องวีซ่ากับรัสเซีย แต่ไม่ถึงขั้นแบนวีซ่านักท่องเที่ยวของพลเมืองรัสเซีย หลังมีเสียงคัคดค้านจากชาติยักษ์ใหญ่อย่าง ฝรั่งเศสและเยอรมนี
รัฐมนตรีต่างประเทศของชาติสมาชิกสหภาพยุโรป(อียู) เสร็จสิ้นการประชุมอย่างไม่เป็นทางการนานสองวันที่กรุงปรากของสาธารณรัฐเช็ก ซึ่งเป็นประธานหมุนเวียนของอียู ในวันพุธ(31ส.ค.)
โดยโจเซฟ บอร์เรลล์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศ แถลงว่า ที่ประชุมเห็นพ้องให้ระงับข้อตกลงอำนวยความสะดวกเรื่องวีซ่ากับรัสเซียที่ทำไว้ในปี 2550 ซึ่งจะช่วยลดจำนวนการออกวีซ่าใหม่ของชาติสมาชิกอียูแก่พลเมืองรัสเซีย เพราะจะยื่นขอวีซ่าได้ยากขึ้นและใช้เวลานานขึ้น
การตัดสินใจมีขึ้นหลังจากมีการข้ามพรมแดนจากรัสเซียเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้านในอียูเพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่กลางเดือน ก.ค. ทำให้ประเทศเหล่านั้นมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงมากขึ้น และชาวรัสเซียยังคงมาเที่ยวพักผ่อนหรือช้อปปิ้งเหมือนไม่มีสงครามเกิดขึ้นในยูเครน
แต่ที่ประชุมมีความเห็นขัดแย้งกันต่อข้อเรียกร้องของบางประเทศที่ต้องการให้แบนวีซ่านักท่องเที่ยวของพลเมืองรัสเซีย โดยโปแลนด์ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย เรียกร้องให้แบนวีซ่า ส่วนเยอรมนี ฝรั่งเศส และเบลเยียมคัดค้าน โดยแย้งว่าไม่ควรลงโทษประชาชนชาวรัสเซียที่อาจคัดค้านการทำสงครามในยูเครน หรือจำเป็นต้องเดินทางเข้ายุโรปด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม รวมไปถึง ผู้สื่อข่าวและนักศึกษา
ส่วนฟินแลนด์ ซึ่งมีพรมแดนติดกับรัสเซียยาวถึง 1,300 กม. ไม่ต้องการเป็นศูนย์กลางให้นักท่องเที่ยวรัสเซียข้ามพรมแดนฟินแลนด์เพื่อเข้าสู่อียู และได้ลดการออกวีซ่าแก่พลเมืองรัสเซียเหลือเพียง 10% จากระดับปกติแล้ว และเปกกา ฮาวิสโต รัฐมนตรีต่างประเทศฟินแลนด์ บอกว่า ฟินแลนด์ตัดสินใจแล้วที่จะจำกัดการออกวีซ่านักท่องเที่ยวให้พลเมืองรัสเซีย และหวังว่า ชาติยุโรปจะตัดสินใจคล้ายกัน
ขณะที่โฆษกทำเนียบเครมลินของรัสเซีย แถลงว่า แผนการที่ยุโรปจะแบนวีซ่านักท่องเที่ยวของพลเมืองรัสเซียเป็นเรื่องไร้เหตุผล และการกระทำดังกล่าวเป็นตัวอย่างของวาระต่อต้านรัสเซียของชาติตะวันตก