"ก๊าซกาตาร์"ที่พึ่งด้านพลังงานของจีน

"ก๊าซกาตาร์"ที่พึ่งด้านพลังงานของจีน

"ก๊าซกาตาร์"ที่พึ่งด้านพลังงานของจีน หวังลดความผันผวนด้านพลังงานในช่วงที่บรรดาบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่พยายามหาแหล่งซัพพลายระยะยาว

สำนักข่าวอัลจาซีราห์ เปิดเผย (21 พ.ย.) ว่า บริษัทน้ำมัน ‘กาตาร์เอ็นเนอร์จี’ ได้เซ็นสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลวแอลเอ็นจีกับ ‘ซิโนเปกคอร์ป’ บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของจีน ซึ่งเป็นสัญญาระยะยาวถึง 27 ปี เนื่องจากความผันผวนของพลังงานผลักดันให้บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่พยายามหาแหล่งซัพพลายระยะยาว

ตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครนในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา การแข่งขันจัดหาก๊าซแอลเอ็นจีเริ่มกดดันมากขึ้น โดยเฉพาะในยุโรปที่ต้องการพลังงานจำนวนมากมาชดเชยการซื้อขายก๊าซผ่านท่อจากรัสเซีย ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซที่ยุโรปนำเข้ามากถึง 40%

ซาอัด อัลกาบี ประธานกาตาร์เอ็นเนอร์จี เผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์สั้น ๆ ก่อนเซ็นสัญญากับซิโนเปกว่า บริษัทพลังงานในยุโรปหลายแห่งที่กำลังหาซื้อก๊าซแอลเอ็นจี จำเป็นต้องดูว่าบริษัทพลังงานในเอเชียมีการเจรจาซื้อขายพลังงานและมีความตั้งใจทำสัญญาระยะยาวอย่างไร 

“วันนี้ (21 พ.ย.) เป็นก้าวที่สำคัญของโครงการนอร์ทฟิลด์อีสของกาตาร์ (เอ็นเอฟอี) ที่ทำข้อตกลงซื้อขายพลังงานครั้งแรกกับบริษัทซิโนเปกของจีนถึง 4 ล้านตัน เป็นเวลา 27 ปี ถือเป็นการทำสัญญาระยะยาวและมีความสำคัญต่อของทั้งสองบริษัทมาก” อัลกาบีกล่าวในแถลงการณ์ ณ เมืองโดฮาและเสริมว่า สัญญานี้เป็นข้อตกลงซื้อขายที่ยาวที่สุดที่เคยมีมา

ทั้งนี้ โครงการเอ็นเอฟอีเป็นส่วนหนึ่งของโครงการแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งกาตาร์ดำเนินโครงการร่วมกับอิหร่าน และเรียกแหล่งพลังงานนี้ว่า ‘เซาท์ปาร์ส’ และเมื่อต้นปีนี้ โครงการเอ็นเอฟอีของกาตาร์เอ็นเนอร์จี ได้ทำข้อตกลงไป 5 สัญญาแล้ว

โดยแผนขยายการผลิตเฟสแรกที่ใหญ่กว่าเฟส 2 ซึ่งรวมการขนส่งก๊าซทางรถไฟ 6 สาย อาจเพิ่มปริมาณการปลิตก๊าซธรรมชาติเหลวของกาตาร์ถึง 126 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2530 จากเดิมสามารถผลิตได้ 77 ล้านตันต่อปี

จากนั้นโครงการเอ็นเอฟอีได้เซ็นสัญญาขยายการผลิตเฟส 2 กับพันธมิตรคู่ค้าอีก 3 แห่ง ซึ่งข้อตกลงซื้อขายพลังงานกับซิโนเปก ถือเป็นสัญญาแรกที่โครงการเอ็นเอฟอีเฟส 2 ประกาศ 
 

โดยอัลกาบีกล่าวว่า “ข้อตกลงนี้ ได้ยกระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองบริษัทมากกว่าเดิม ซึ่งสัญญาซื้อขายพลังงานจะคงอยู่ไปจนถึงช่วงปี 2593 และเป็นการส่งสัญญาณว่า บริษัทพลังงานเอเชียจำนวนมากกำลังเข้ามาหาเรา เพื่อทำข้อตกลงซื้อขายพลังงานในระยะยาว เนื่องจากปริมาณก๊าซในอนาคตกำลังลดน้อยลงเรื่อย ๆ”

นอกจากนี้ อัลกาบีเผยว่า การเจรจากับบริษัทพลังงานอื่น ๆ ในจีนและยุโรปที่ต้องการสร้างความปลอดภัยด้านพลังงานกำลงอยู่ในช่วงดำเนินการ ซึ่งกาตาร์พร้อมเป็นผู้นำในการส่งออกก๊าซแอลเอ็นจีของโลก ซึ่งการขยายกำลังผลิตของโครงการเอ็นเอฟอี จะหนุนให้กาตาร์เป็นผู้นำได้ และรับประกันได้ว่า กาตาร์สามารถส่งซัพพลายก๊าซในระยะยาวให้กับยุโรปที่พยายามหาแหล่งพลังงานทางเลือกทดแทนพลังงานจากรัสเซียได้แน่นอน

“ความผันผวนของพลังงานในปัจจุบันผลักดันให้บริษัทพลังงาน ตระหนักถึงความสำคัญของการมีแหล่งซัพพลายระยะยาว ที่มีความมั่นคงและมีราคาเหมาะสม ซึ่งโครงการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายเช่นนี้มีไม่มาก และการผลิตแอลเอ็นจีจำนวนมากของกาตาร์ในอนาคต กำลังเข้าตลาด Golden Pass LNG ของสหรัฐ ซึ่งกาตาร์เอ็นเนอร์จีเป็นพันธมิตรกับเอ็กซ์ซอนโมบิล และอาจมีโครงการนอร์ทฟิลด์เซาท์ด้วย” อัลกาบีกล่าว และเสริมว่า ขณะนี้ทั่วโลกเริ่มตระหนักว่าก๊าซธรรมชาติควรเป็นส่วนสำคัญของการเปลี่ยนผ่านพลังงานมากขึ้นแล้ว

นอกจากนี้ โดยอัลกาบียกตัวอย่างว่า ลมไม่ได้พัดตลอดเวลาและแสงอาทิตย์ไม่ได้ไม่ได้ส่องแสงตลอดทั้งวัน ดังนั้น ก๊าซแอลเอ็นจีของกาตาร์คือทางเลือกที่มีคาร์บอนเข้มข้นน้อยที่สุด และราคาพลังงานในสัญญาซิโนเปกจะเหมือนกับบริษัทพลังงานอื่น ๆ ในอดีตที่อ้างอิงจากราคาน้ำมันดิบเช่นกัน 

ส่วนการเจรจาสัดส่วนหุ้นในโครงการน้ำมันของประเทศอ่าวอาหรับ กาตาร์กล่าวว่ากำลังดำเนินการกับหลายหน่วยงาน 

ด้านซิโนเปกเผยว่า สัญญาซื้อขายก๊าซนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างพันธมิตรกับโครงการเอ็นเอฟอี ดังนั้น เป็นไปได้ว่าสัญญานี้ อาจรวมถึงการเจรจาสัดส่วนหุ้นในโครงการด้วย ซึ่งทางอัลกาบีเปิดกล่าวไว้ว่า กาตาร์เอ็นเอนร์จียังคงถือหุ้นส่วนในโครงการน้ำมันทั้งหมด และอาจขายหุ้น 5% เพื่อให้บริษัทพลังงานอื่นถือได้เช่นกัน

ทั้งนี้ ในปี 2564 กาตาร์เป็นประเทศที่ผลิตก๊าซธรรมชาติเป็นอันดับที่ 5 ของโลก รองจากสหรัฐ รัสเซีย อิหร่าน และจีน ตามลำดับ ทั้งยังเป็นเจ้าของแหล่งก๊าซธรรมชาติสำรองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก และยังเป็นผู้ส่งออกก๊าซอันดับ 3 ของโลกด้วย