นักวิจัยเตือนน้ำแข็งอาร์กติกละลายไว กระทบระบบนิเวศน์
นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยรายงานประจำปีของทวีปอาร์กติก เมื่อวันอังคาร (13 ธ.ค.)ว่า น้ำในทวีปอาร์กติกเริ่มสูงขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้ระบบนิเวศน์ที่อ่อนไหวง่าย และชุมชนในท้องถิ่นมีความเสี่ยงมากขึ้น
สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงานผลการศึกษาของนักวิจัยเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ เกี่ยวกับอุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแข็งในทะเลละลาย, ช่วงหิมะตกลดลง,ไฟป่าเพิ่มขึ้น และระดับความเสี่ยงของฝนตก ทำให้สัตว์ป่า และชนพื้นเมืองในภูมิภาคอาร์กติกต้องปรับตัว
โดยปีนี้ ถือเป็นปีที่ทวีปอาร์กติกมีสถิติอุณหภูมิร้อนสูงสุดเป็นอันดับที่ 6 จากที่เคยบันทึกสถิติมา ยกตัวอย่างเช่น เกิดคลื่นความร้อนในกรีนแลนด์เมื่อเดือนก.ย. ทำให้น้ำแข็งละลายเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 40 ปี สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงยังทำให้เกิดฤดูร้อนที่ยาวนานขึ้นในกรีนแลนด์ และเร่งให้ธารน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว
นักวิทยาศาสตร์ย้ำว่า การขนส่งทางเรือเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากน้ำแข็งอาร์กติกลดลง ซึ่งเห็นได้ชัดจากการเดินเรือขนส่งจากทะเลแปซิฟิกผ่าน ช่องแคบแบริ่ง และทะเลโบฟอร์ต
การจราจรทางเรือที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงแต่ช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในเส้นทางการค้าใหม่ แต่อาจทำลายระบบนิเวศน์ และชุมชนต่างๆ ในอาร์กติกด้วย โดยนักวิทยาศาสตร์คาดว่า ในปี 2578 เส้นทางทะเลอาร์กติกอาจปราศจากน้ำแข็งในช่วงฤดูร้อน
ทั้งยังเตือนว่าหยาดน้ำฟ้าในอาร์กติกเพิ่มขึ้นในทุกฤดู และฤดูกาลกำลังเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงต่างๆ นี้ จะกระทบกับชีวิตผู้คน สัตว์ และพืชที่ปกติต้องอาศัยอยู่ในสภาพอากาศหนาวเย็น และแห้งแล้ง
ทั้งนี้ อาร์กติกเริ่มมีอุณหภูมิสูงขึ้นเกือบ 4 เท่าของอุณหภูมิทั่วโลก หากระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มขึ้น 1 ฟุต อาจกระทบต่อชุมชนตามชายฝั่งเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น อาจทำให้ประชาชนไม่มีที่อยู่กว่า 200 ล้านคน ในช่วงปลายทศวรรษนี้
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์