'ฟอร์บส' ชี้มหาเศรษฐีพันล้านโลกปีนี้เกือบครึ่งรวยลดลง
นิตยสารฟอร์บส จัดอันดับมหาเศรษฐีทั่วโลกที่มีทรัพย์สินเกินพันล้านดอลลาร์ พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งมีทรัพย์สินน้อยลงกว่าปีที่แล้ว ขณะที่ "อีลอน มัสก์" หลุดจากบัลลังก์รวยสุดในโลก มาอยู่ในอันดับ 2 หนุนให้เจ้าของหลุยส์วิตตองไต่ขึ้นไปอยู่อันดับ 1 แทน
นิตยสารฟอร์บส์ จัดอันดับมหาเศรษฐีทั่วโลกที่มีทรัพย์สินเกินพันล้านดอลลาร์ พบว่า เกือบครึ่งหนึ่งมีทรัพย์สินน้อยลงกว่าปีที่แล้ว จากปัจจัยหุ้นร่วง,สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น หรือบริษัทไฮเทคเกิดใหม่ที่มีทรัพย์สินเกินพันล้านต่างเจ็บระบมจากพิษเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ การขึ้นดอกเบี้ยก็มีส่วนกระทบเงินของคนรวย
จากการจัดอันดับของฟอร์บสพบว่า มีมหาเศรษฐีทรัพย์สินเกินพันล้านดอลลาร์ ติดเข้ามา 2,640 คนในปีนี้น้อยกว่าปีก่อน ซึ่งมีติดเข้ามา 2,668 คน
นอกจากนี้ ทรัพย์สินรวมกันของมหาเศรษฐีเหล่านี้ ยังอยู่ที่ 12.2 ล้านล้านดอลลาร์ ร่วงลงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีมหาเศรษฐีเกือบครึ่งหนึ่งในนี้มีทรัพย์สินน้อยลงรวมถึง มัสก์ วัย 51 ปี ที่ร่วงจากอันดับ 1 ของคนรวยสุดในโลก มาอยู่ที่อันดับ 2 หลังเข้าซื้อกิจการทวิตเตอร์ด้วยวงเงินสูงมาก จนฉุดหุ้นเทสล่าให้ร่วงต่ำรุนแรงเมื่อปีที่แล้ว ทรัพย์สินของเขาจึงหายไปเกือบ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ มาอยู่ที่ 180,000 ล้านดอลลาร์
ด้านแบร์นาร์ด อาร์โนลต์ ประธานกลุ่ม LVMH วัย 74 ปี เจ้าของแบรนด์หรู หลุยส์วิตตอง คริสเตียนดิออร์ และทิฟฟานี แอนด์โค ผงาดขึ้นแท่นคนรวยสุดในโลกปีนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่คนฝรั่งเศสได้เป็นเบอร์หนึ่งของคนที่รวยที่สุดในโลก ด้วยทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ มาอยู่ที่กว่า 2 แสนล้านดอลลาร์
ถึงแม้มัสก์ จะมีทรัพย์สินน้อยลง จนหลุดแท่นเบอร์หนึ่งรวยสุดในโลก แต่โครงการอวกาศสเปซเอ็กซ์ของเขายังถือเป็นดาวเด่น เพราะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 13,000 ล้านดอลลาร์ตลอดปีที่ผ่านมา
ส่วน เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งอเมซอน มีทรัพย์สินหายไปมากที่สุดในบรรดามหาเศรษฐีด้วยกัน ฉุดให้เขาร่วงจากอันดับ 2 มาอยู่ที่อันดับ 3 ในปีนี้ จากการที่หุ้นอเมซอนมีมูลค่าหายไปเกือบ 40% เมื่อปีที่แล้ว
สหรัฐ ยังคงเป็นประเทศที่มีมหาเศรษฐีพันล้านมากสุดในโลก โดยมีมากถึง 735 คน ตามมาด้วยจีน ซึ่งก็รวมฮ่องกงและมาเก๊าด้วย มีมหาเศรษฐีพันล้าน 562 คน อันดับสามคืออินเดีย มีอยู่ที่ 169 คน
ทั้งนี้ ฟอร์บสจัดอันดับทรัพย์สินสุทธิโดยคำนวนจากราคาหุ้น และอัตราการแลกเปลี่ยน ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค.2566