เลือกตั้งปธน.สหรัฐปี 67 ‘ไบเดน’เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
เลือกตั้งปธน.สหรัฐปี 67 ‘ไบเดน’เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ขณะผลสำรวจของวอลล์สตรีท เจอร์นัล ซึ่งจัดทำช่วงกลางเดือนเม.ย.บ่งชี้ว่า ไบเดน จากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนำทรัมป์จากพรรครีพับลิกันอยู่ 3%
หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันอังคาร(25 เม.ย.) ว่าจะลงแข่งขันศึกเลือกตั้งรั้งตำแหน่งผู้นำสหรัฐสมัยที่สองในปี 2567 ก็มีการทำสำรวจพบว่า หากศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ คู่แข่งเป็นคู่เดิมเหมือนในปี 2563 ผู้ชนะก็จะยังคงเป็น “คนเดิม”
ผลสำรวจของวอลล์สตรีท เจอร์นัล ซึ่งจัดทำขึ้นในช่วงกลางเดือนเม.ย.นี้ พบว่า ประธานาธิบดีไบเดน จากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนำ “โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกันอยู่ 3% โดยคาดว่าปธน.ไบเดนจะได้คะแนนเสียง 48% ขณะที่ทรัมป์ได้รับ 45% ซึ่งหมายความว่า ปธน.ไบเดนยังคงมีชัยชนะเหนือทรัมป์ใน ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่กำลังจะมีขึ้นในปีหน้า
ด้านสำนักข่าวเอ็นบีซี เปิดเผยผลการสำรวจความพึงพอใจของชาวอเมริกันที่มีต่อการทำงานของปธน.ไบเดน พบว่า ความพึงพอใจอยู่ที่ระดับ 41% ในเดือนเม.ย. ซึ่งแม้จะต่ำกว่า 57% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่เขาเคยได้รับ แต่ก็ยังถือว่าสูงกว่าระดับ 39% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดที่เขาเคยได้ในเดือนพ.ค.ปี 2565
ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า ปธน.ไบเดนยังคงเป็นตัวเลือกที่ “ดีที่สุด” สำหรับพรรคเดโมแครตในการสู้ศึกเลือกตั้งกับทรัมป์ ซึ่งแม้ปธน.ไบเดนจะมีอายุมากแล้ว แต่ก็มีประสบการณ์มายาวนานหลายปี จากการเป็นรองประธานาธิบดีและประธานาธิบดีสหรัฐ จึงมีศักยภาพในการรับมือกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในเวทีโลกท่ามกลางบริบทที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ยังคงเดินหน้าทำสงครามในยูเครน และจีนยังคงแผ่อิทธิพลในภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีไบเดน ประกาศตัวอย่างเป็นทางการว่าจะลงชิงชัยเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2567 โดยย้ำว่าต้องการอาสาทำงานเพื่อชาติ
“เมื่อผมประกาศว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อ 4 ปีก่อน ผมเคยบอกว่า เรากำลังทำสงครามสำหรับจิตวิญญาณแห่งอเมริกา และขณะนี้เราก็ยังคงอยู่ในการทำสงครามดังกล่าว ปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ก็คือ ในช่วงหลายปีข้างหน้า เราจะมีอิสรภาพมากขึ้นหรือน้อยลง มีสิทธิมีเสียงมากขึ้นหรือน้อยลง ผมรู้ว่าผมต้องการให้คำตอบคืออะไร และผมคิดว่าพวกคุณก็เช่นกัน นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานิ่งนอนใจ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นสมัยที่ 2” ไบเดน กล่าวในคลิปวิดีโอที่มีการเผยแพร่สู่สาธารณะ
ปัจจุบัน ประธานาธิบดีไบเดน ในวัย 80 ปี ถือเป็นผู้นำสหรัฐที่มีอายุมากที่สุดขณะดำรงตำแหน่ง และหากเขาคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งปีหน้า และได้ครองทำเนียบขาวอีก 4 ปี จะทำให้เขามีอายุ 86 ปีขณะสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2
ด้านทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศตัวไว้แล้วก่อนหน้านี้ว่าจะลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง ขณะที่ผลสำรวจพบว่า ทรัมป์ยังคงมีคะแนนนำผู้สมัครคนอื่นๆในการคัดเลือกเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันเพื่อการสู้ศึกครั้งนี้
ทรัมป์ ต้องการลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2567 ซึ่งจะถือว่าเป็นนัดล้างตา เพราะเขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2563 ต่อไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต ซึ่งตัวเขาปฏิเสธความพ่ายแพ้นั้นมาโดยตลอด ทั้งยังอ้างว่าเขาถูกปล้นชัยชนะ และฝ่ายตรงข้ามโกงการเลือกตั้ง
หากทรัมป์และไบเดนต่างประสบความสำเร็จในการได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันและเดโมแครตในการสู้ศึกเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย.ปี 2567 ก็จะเป็นการ “รีแมทช์” หรือเป็นการกลับมาพบกันอีกครั้งของคู่ชิงคู่เดิมที่เคยแข่งขันกันมาแล้วในปี 2563 และถือเป็นการแก้มือครั้งสำคัญของทรัมป์ ที่แม้จะเพลี่ยงพล้ำจนพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งก่อนหน้านี้ แต่คาดว่าเขายังคงมีฐานเสียงจำนวนมากที่ยังคงจงรักภักดีและพร้อมที่จะสนับสนุนให้เขากลับเข้าทำเนียบขาวอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับทรัมป์ ในการกลับมาทวงคืนบัลลังก์ คือคดีความรุงรังที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขามัวหมอง
ล่าสุด ทรัมป์ กำลังเตรียมต่อสู้คดีข่มขืนเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน นับเป็นคดีใหม่ในศาลที่เขาต้องเผชิญ หลังมีสตรีรายหนึ่งกล่าวหาว่าเขา ข่มขืนเธอในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งตั้งแต่เมื่อช่วงกลางทศวรรษ 1990
คดีนี้เกิดขึ้นจากการที่ “อี.จีน แคร์รอลล์” นักเขียนและอดีตนักเขียนคอลัมน์ของนิตยสารแอล (Elle) ออกมากล่าวหาว่าทรัมป์ข่มขืนเธอ และยื่นฟ้องเขาในข้อหาหมิ่นประมาทด้วย แต่ทรัมป์ปฏิเสธและยืนยันว่า ไม่เคยข่มขืนแคร์รอลล์
นอกจากนี้ ยังเรียกคำกล่าวหาของเธอว่า เป็น “เรื่องโกหก” และ “เรื่องหลอกลวงสุด ๆ” แถมทรัมป์ยังอ้างด้วยว่า โจทก์รายนี้แต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อใช้โปรโมทหนังสือบันทึกความทรงจำของเธอเอง
ทรัมป์ไม่ต้องปรากฏตัวต่อหน้าผู้พิพากษาในคดีนี้ และทีมทนายของทรัมป์บอกว่า อดีตผู้นำสหรัฐ อาจไม่มาขึ้นศาล เนื่องจากประเด็นความกังวลด้านความปลอดภัยและการจราจร
ขณะที่ทนายของแคร์รอลล์ ระบุว่า ไม่มีแผนจะเรียกทรัมป์ขึ้นเป็นพยานให้การในศาลเช่นกัน แต่ถ้าหากทรัมป์ขึ้นให้การในศาล เขาน่าจะต้องเผชิญกับการสืบค้านที่ดุเดือด
นับตั้งแต่เรื่องอื้อฉาวปะทุขึ้นครั้งแรกในปี 2562 ทรัมป์ได้ออกมาโจมตีแคร์รอลล์ในทุกทางมาอย่างต่อเนื่อง แถมยังอ้างด้วยว่า โจทก์ในคดีนี้มีอาการป่วยทางจิต
ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ลูอิส แคปแลน ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางในแมนฮัตตันที่ดูแลคดีนี้ ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของคณะลูกขุนต่อสาธารณะและทนาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้สนับสนุนทรัมป์ก่อกวนรังควาญบุคคลเหล่านี้ ทั้งยังประเมินว่า กระบวนการไต่สวนคดีนี้น่าจะใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ หลังการเปิดศาลเมื่อวันอังคาร (25 เม.ย.)