อดีตผู้บริหารแฉ AIIB รับใช้ผลประโยชน์จีน
อดีตผู้บริหารรายหนึ่งของ AIIB แฉกับเอเอฟพีหลังลาออก ธนาคารการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย “รับใช้ผลประโยชน์จีน” รัฐบาลปักกิ่งใช้อิทธิพล “เกินเลย” ในองค์กรที่ควรจะเป็นพหุภาคี
นายบ็อบ พิกคาร์ด อดีตประธานเจ้าหน้าที่สื่อสารของ AIIB ผู้ลาออกในสัปดาห์นี้และวิจารณ์ธนาคารผ่านบัญชีทวิตเตอร์ของตน เผยกับสำนักข่าวเอเอฟพี ย้ำถึงข้อกล่าวหาของตนเองที่ว่า ธนาคารแห่งนี้ถูกครอบงำโดยสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน โครงการที่ให้เงินสนับสนุนในช่วงแรกๆ เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของรัฐบาลปักกิ่ง
"ทรัพยากรของธนาคารเป็นไปเพื่อเป้าหมายทางภูมิรัฐศาสตร์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในทางปฏิบัติผมเชื่อว่ามันรับใช้ผลประโยชน์ของจีน ธนาคารฉายภาพตนเองว่าบริหารโดยคณะกรรมการ ผู้บริหารชาวต่างชาติมากมายมีบทบาทนำ แต่ภายในมีระบบคู่ขนานเคียงข้างกับโครงสร้างการตัดสินใจสาธารณะ"
หลังการลาออกของนายพิกคาร์ด นางคริสเทีย ฟรีแลนด์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแคนาดา ประกาศว่า รัฐบาลออตตาวา “จะระงับกิจกรรมของรัฐบาลทุกอย่างในธนาคารแห่งนี้ทันที”
ขณะที่ AIIB ออกแถลงการณ์หลังนายพิกคาร์ดทวีตข้อความกล่าวหา ธนาคารยืนยันการลาออกของเขา และว่า ข้อกล่าวหาของนายพิกคาร์ด “ไม่มีมูลและน่าผิดหวัง”
ทั้งนี้ AIIB เป็นความตั้งใจของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เปิดตัวเมื่อปี 2559 เพื่อแข่งกับธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่ถูกชาติตะวันตกครอบงำ
สมาชิก AIIB มี 106 ประเทศทั่วโลก สหรัฐไม่ร่วมตั้งแต่แรกเพราะห่วงเรื่องความโปร่งใสและการบริหารองค์กร
นายพิกคาร์ดเล่าว่า หลังจากเขาร่วมทำงานกับ AIIB เมื่อราวหนึ่งปีก่อนก็ได้รับเสียงเตือน “อย่าไปยุ่งกับคนของพรรค อย่าไปยุ่งกับพวกเขาเพราะมีอำนาจมาก”
อดีตผู้บริหารรายนี้ไม่บอกว่าใครเป็นคนเตือน แต่หนึ่งเดือนก่อนเขาเคยเขียนถึงความกังวลเกี่ยวกับบทบาทและอิทธิพลของสมาชิกพรรค ได้คำตอบว่า อย่าเข้าไปยุ่ง
เมื่อรัฐมนตรีคลังแคนาดากล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังตรวจสอบข้อกล่าวหาที่ยกมาและความเกี่ยวข้องของแคนาดาใน AIIB นายพิกคาร์ดกล่าวว่า รู้สึก “มีความสุขที่รัฐบาลประเทศของผมเอาจริงเอาจังกับปัญหาไร้ความโปร่งใส และอิทธิพลเกินเลยของพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อสิ่งที่ควรจะเป็นองค์กรพหุภาคี
ผมเชื่อว่ารัฐบาลแคนาดาจะพบได้ในที่สุด ผลประโยชน์ของธนาคารนี้ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศเรา ทำไมแคนาดาต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในองค์กรที่สุดท้ายแล้วทำให้จีนมีอิทธิพลมากขึ้น”