แบงก์สหรัฐปลดพนง.ใกล้ทะลุ 11,000 ตำแหน่ง หลังแห่จ้างงานจำนวนมาก
สำนักข่าวไฟแนนเชียลไทม์ส รายงานว่า การปลดพนักงานในกลุ่มธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ในปีนี้ใกล้ทะลุระดับ 11,000 ตำแหน่ง ขณะที่สหรัฐกำลังต่อสู้กับตลาดการจัดหางานที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเงิน หลังเกิดการแห่จ้างงานครั้งใหญ่
ในสัปดาห์นี้ ซิตี้กรุ๊ป กลายเป็นธนาคารขนาดใหญ่รายล่าสุดของสหรัฐที่ประกาศปลดพนักงานครั้งใหญ่ โดยได้แจ้งต่อกลุ่มนักลงทุนว่าทางธนาคารวางแผนที่จะบรรลุเป้าหมายการปลดพนักงาน 5,000 ตำแหน่งภายในสิ้นไตรมาส 2/2566 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานในแผนกวาณิชธนกิจและการค้า กรณีดังกล่าวตามหลังการปลดนายธนาคารหลายพันตำแหน่งที่โกลด์แมน แซคส์และมอร์แกน สแตนลีย์
การปลดพนักงานดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่กลุ่มผู้บริหารพยายามลดการจ้างงาน หลังจากเกิดการแห่จ้างงานครั้งมโหฬารที่เริ่มต้นขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวหลังผ่านพ้นโรคโควิด-19 โดยธนาคารต่าง ๆ แห่เพิ่มการจ้างงานเพื่อรับมือกับการทำข้อตกลงและการค้าที่เฟื่องฟู
"กระแสการปลดพนักงานดังกล่าวน่าจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ท้าทายตลาดงานสหรัฐมากที่สุดเท่าที่เราเคยเจอมานับตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเงินเมื่อปี 2551" นายแม็กซ์ เคมนิตเซอร์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายบริการภาคธนาคารและการเงินของบริษัทไมเคิล เพจในนิวยอร์ก ระบุ
ภาวะตลาดแรงงานตึงตัวในช่วงโรคโควิด-19 ระบาดและหลังโรคโควิด-19 ระบาดได้ทำให้บริษัทต่าง ๆ เสนอเงินจูงใจจำนวนมากเพื่อให้พนักงานอยู่กับบริษัทต่อไป ขณะเดียวกันก็เร่งจ้างงานเพิ่มท่ามกลางความวิตกกังวลว่าจะพ่ายแพ้ในสงครามช่วงชิงพนักงานมากความสามารถ
ช่วงสิ้นไตรมาส 1/2566 ธนาคารรายใหญ่ 5 แห่งของสหรัฐ ได้แก่ เจพีมอร์แกน, แบงก์ ออฟ อเมริกา, มอร์แกน สแตนลีย์, โกลด์แมน แซคส์ และซิตี้กรุ๊ป จ้างพนักงานทั่วโลกรวมกันถึง 882,000 ตำแหน่ง ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงสิ้นปี 2565 และเพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ตำแหน่ง ณ ช่วงสิ้นเดือนมี.ค. 2563
ธนาคารเพียงรายเดียวที่ปลดพนักงานอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้คือโกลด์แมน แซคส์ ซึ่งจำนวนพนักงานลดลง 6.4% สู่ระดับ 45,400 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบหลายปี ขณะที่จำนวนพนักงานของมอร์แกน สแตนลีย์ลดลงเล็กน้อยสู่ 82,266 ตำแหน่ง ส่วนจำนวนพนักงานของซิตี้กรุ๊ปทรงตัว ด้านเจพีมอร์แกนไม่ได้ออกมาประกาศการปลดพนักงานครั้งใหญ่
ข้อมูลจากผู้ตรวจสอบของรัฐบาลระบุว่า ในปี 2565 การจ้างงานในอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ในสหรัฐพุ่งขึ้นเกือบ 6% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบอย่างน้อย 20 ปี