สินทรัพย์สหรัฐ กำลังเสื่อมค่า ปรากฏการณ์ชั่วคราวหรือถาวร 

สินทรัพย์สหรัฐ กำลังเสื่อมค่า ปรากฏการณ์ชั่วคราวหรือถาวร 

คนส่วนใหญ่รู้มานานแล้วว่า ฟองสบู่ในประเทศอเมริกา สักวันหนึ่งคงจะแตก เพราะสหรัฐเล่นพิมพ์เงินขึ้นมาใช้แบบฟรีๆ และเป็นหนี้คนไปทั่วโลก ถึง 36 ล้านล้านเหรียญ

แต่คนส่วนใหญ่คาดไม่ถึงว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะเร่งให้มันเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่วัน

ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าประเทศต่างๆแบบบ้าบิ่น แบบไม่ไว้หน้า ไม่สนใจความสัมพันธ์ที่มีมายาวนาน ไม่ว่ากับประเทศพันธมิตรใกล้ชิดอย่างยุโรป แคนาดา หรือญี่ปุ่น  ทุกคนจึงต้องทิ้งสินทรัพย์ทุกอย่างของสหรัฐ

3 สินทรัพย์หลัก ที่กำลังดิ่งเหว

1.หุ้นในสหรัฐ

ตลาดหุ้นในอเมริกาถือเป็นหนึ่งในตลาด ที่หุ้นมีราคาแพงที่สุดในโลก (เมื่อวัดด้วยค่า P/E) ถึงแม้จะมีบริษัทที่มีคุณภาพมากมายหลายบริษัท แต่ด้วยการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบมากเกินไป จึงทำให้หุ้นมีราคาแพงเกินจริง รอวันที่ฟองสบู่แตก 

พอประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ ก็เป็นการตอกย้ำว่าเศรษฐกิจอเมริกากำลังแย่ จนต้องใช้วิธีนักเลงเก่า เรียกให้ทุกประเทศต้องก้มหัวเข้ามาเจรจา โดยไม่สนใจกฎระเบียบที่เคยร่วมวางกันมา ในเรื่องการค้าเสรีในอดีต

มิหนำซ้ำ รมว.คลังสหรัฐ ยังขู่ที่จะถอดถอนบริษัทจีนทั้งหมดออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท Alibaba, Baidu หรือ J.D.com ยิ่งแสดงถึงความไร้กฎกติกา ที่เอาความคิดตนเองเป็นใหญ่ จึงทำให้นักลงทุนเทขายหนีตลาดหุ้นสหรัฐ

2.พันธบัตรสหรัฐ

พันธบัตรสหรัฐ ถือเป็นหนึ่งในตราสารทางการเงินที่มีความมั่นคงที่สุด บางคนถึงกับเรียกว่ามันคือ Safe heaven ขนาดที่ว่าทุกครั้งที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน

นักลงทุนจะขายหุ้นแล้วนำเงินที่ได้มาพักไว้ในพันธบัตรสหรัฐ แต่ครั้งนี้ นักลงทุนกลับขายทั้งหุ้นและพันธบัตรออกไปพร้อมกัน

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ผู้คนกำลังเทขายพันธบัตร และเป็นแรงขายจากนักลงทุนประเทศไหน 

เป็นที่ทราบกันดีว่า ราคาพันธบัตรและอัตราผลตอบแทนเรื่องดอกเบี้ย มักจะสวนทางกัน ในวันที่ปรธานาธบดีทรัมป์ประกาศนโยบายภาษีใหม่

ปรากฏว่าอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตร 10 ปีและ 30 ปี กลับเพิ่มขึ้นแบบพรวดพราด แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบ 10 ปี 

นั่นหมายความว่า ต้องมีนักลงทุนที่ยอมขายพันธบัตรในราคาที่ขาดทุน เพื่อหนีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อที่อาจสูงขึ้น หรือค่าเงินดอลล่าร์ที่อาจจะลดลงในอนาคต

แล้วนักวิเคราะห์รู้ได้อย่างไรว่า นักลงทุนที่เทขายนั้นมาจากประเทศไหน 

คำตอบคือ เขาดูอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นใน 1-2 วันนั้นว่า เงินดอลล่าร์ได้อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลใดอย่างมีนัยสำคัญ 

เช่น ในวันที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด ปรากฏว่าอัตราแลกเปลี่ยนของเงินดอลล่าร์สหรัฐต่อเงินเยนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ก็แสดงว่านักลงทุนสถาบันของญี่ปุ่นน่าจะขายพันธบัตร แล้วแลกเงินกลับไปเป็นเงินเยน

ทำให้ความต้องการเงินเยนสูงขึ้นอย่างมาก เงินเยนจึงแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ หรือเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน  

ในวันนั้น ไม่เพียงแต่เงินเยนมีค่าสูงขึ้น 0.64% เงินดอลลาร์แคนาดาก็มีค่าสูงขึ้นถึง 0.85% เมื่อเทียบกับเงินสหรัฐ

จึงมีการคาดหมายกันว่ารัฐบาลแคนาดาอาจจะไม่พอใจในมาตรการของประธานาธิบดีทรัมป์ จึงขายพันธบัตรสหรัฐ แล้วแลกกลับคืนเป็นเงินแคนนาดา มาลงทุนในประเทศของตนเองแทน

ว่ากันว่าในจำนวนสินทรัพย์ที่รัฐบาลสหรัฐมีความกังวลเป็นพิเศษ  คือดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล เพราะมันแสดงถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่อาจทำให้สหรัฐระดมเงินเพื่อมารีไฟแนนซ์พันธบัตรสหรัฐได้ยากขึ้น

อีกทั้งดอกเบี้ย ที่สูงขึ้นจะเป็นภาระของรัฐบาลในอนาคต จนแทบจะไม่มีเงินเหลือเพียงพอที่จะมาพัฒนาประเทศ 

 3. ดอลลาร์สหรัฐ

การที่รัฐบาลสหรัฐออกนโยบายภาษีที่น่าตกใจ มันแสดงถึงความลุแก่อำนาจและการสิ้นไร้หนทางในการเยียวยาเศรษฐกิจของตน จึงต้องบังคับให้ทุกประเทศมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาที่ตนเองก่อขึ้น

ทำให้นักลงทุนทั่วโลกขาดความเชื่อมั่นในทิศทางการดำเนินงานของรัฐบาลสหรั{ ยิ่งประธานาธิบดีทรัมป์มีการเปลี่ยนนโยบายแบบรายวัน ยิ่งทำให้คนขาดความเชื่อถือ  

นักลงทุนจึงขายสินทรัพย์สหรัฐ แล้วเปลี่ยนเป็นเงินสกุลอื่นที่เป็นปลายทางในการลงทุนใหม่ มีผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าอย่างรวดเร็วในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ถามว่าการอ่อนค่าของสินทรัพย์ที่สำคัญถึงสามอย่างในสหรัฐอเมริกานั้น จะเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวหรือถาวร  

ในความคิดของผู้เขียนคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องถาวร จนกว่าจะสามารถหาจุดสมดุลย์ใหม่ จากการล้มครืนของความเชื่อมั่นในครั้งนี้ 

เหตุผลที่มารองรับว่า ทำไมการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่เกิดขึ้น จะส่งผลเป็นโดมิโนอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะนิ่ง 

1.พื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐแย่

จริงอยู่ว่าสหรัฐเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งถ้าเปรียบเป็นคน ก็เป็นคนที่มีความรู้ มีเงินเดือนสูง แต่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ต้องกู้ยืมเงินคนอื่นมาหมุนอยู่ร่ำไป

ในระยะยาว คงไม่สามารถตั้งตัวได้แน่ จึงต้องมีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีการสร้างศัตรูไปทั่วแบบที่ทำอยู่ตอนนี้ 

ยิ่งมีสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่หลายแห่งทำนายไว้ว่า ตอนนี้เศรษฐกิจของสหรัฐมีโอกาสที่จะถดถอยถึง 50% ยิ่งสร้างความตื่นกลัวให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันจากต่างประเทศ

2.การลุแก่อำนาจ

การใช้อำนาจที่มีอยู่ล้นฟ้า มาบังคับให้คนอื่นทำตามเป้าประสงค์ของตนเอง ทั้งที่ไม่ถูกต้องไม่ชอบธรรม สิ่งที่ทำให้สหรัฐสูญเสียมากที่สุดก็คือ ความเชื่อถือ (Trust)

คนจะเริ่มตั้งข้อสงสัยว่า สิ่งที่สหรัฐเคยโยนหินถามทางว่า จะเปลี่ยนพันธบัตรที่สหรัฐเป็นหนี้ประเทศต่างๆ เป็นพันธบัตรอายุ 100 ปี ที่ไม่มีอัตราดอกเบี้ย (Zero coupon) จะมีโอกาสเกิดขึ้นจริงหรือไม่ 

หรือแม้กระทั่งการที่จะหาเรื่องยึดเอาทองคำสำรองที่แต่ละประเทศวางไว้ที่ประเทศสหรัฐนั้น มีโอกาสที่สหรัฐจะหาเรื่องแบบหมาป่ารังแกลูกแกะ เพราะมีคนเริ่มเชื่อแล้วว่า สหรัฐจะทำทุกอย่างที่ตนเองต้องการ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกต้องหรือไม่

3.ความต้องการเงินดอลลาร์จะลดลง 

การที่ประเทศสหรัฐประกาศขึ้นอัตราภาษีนำเข้าของประเทศต่างๆ มันก็เสมือนการกีดกันการค้ารูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ประเทศต่างๆเริ่มถอยหนี และหาตลาดอื่นทดแทน ลดความสำคัญของตลาดสหรัฐลง ทำให้ความจำเป็นต้องใช้เงินดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขายสินค้ากับประเทศสหรัฐมีน้อยลง

ในที่สุด จะทำให้เงินดอลลาร์ลดความสำคัญในการเป็นตัวกลางในการซื้อขายลง สุดท้ายก็จะลงเอยแบบเงินปอนด์ของอังกฤษที่ลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ

4.สูญเสียภาพความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ

ถึงแม้สหรัฐจะยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำทางเศรษฐกิจ แต่จะไม่สามารถมีอิทธิพลได้เหมือนเดิม เพราะความเชื่อถือและความศรัทธาที่นานาชาติมีต่อสหรัฐเริ่มลดน้อยลง การซื้อขายระหว่างประเทศต่างๆแทนที่ตลาดสหรัฐจะมีมากขึ้น

ครั้นสหรัฐจะใช้อำนาจทางทหารมาบีบบังคับแต่ละประเทศให้ทำตามความประสงค์ของตนเอง ก็อาจจะมีหลายกลุ่มก้อนที่ไม่เอาด้วย เช่น กลุ่มสหภาพยุโรป กลุ่มประเทศอาหรับ หรือแม้แต่กลุ่มอาเซียน ทำให้สหรัฐเสียโอกาสทางเศรษฐกิจไปอีกมาก (จากที่เคยใช้อำนาจบังคับมาได้)

จากสารพัดปัญหาที่กล่าวมา ทำให้สหรัฐไม่สามารถกลับมายิ่งใหญ่ได้ตามความฝันของประธานาธิบดีทรัมป์

ซ้ำร้ายกลับทำให้ประเทศอ่อนแอลง ผู้คนเกลียดชัง และนำไปสู่ความยากลำบากของประชาชนอเมริกันเองในอนาคต

ความเชื่อถือก็เปรียบเหมือนกับกระจก ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการสร้าง แต่เมื่อมันแตกร้าวแล้ว ก็ยากที่จะทำให้กลับมาเหมือนเดิม 

นี่คือสิ่งที่ชาวอเมริกันจะต้องรับเคราะห์กรรม จากการที่มีผู้นำที่มุทะลุดุดัน แบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้.

หมายเหตุ ข้อเขียนข้างต้น เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์กรที่ผู้เขียนสังกัดแต่อย่างใด