'ฝรั่งเศส-ไทย' ร่วมมือพัฒนานวัตกรรม หนุนสัมพันธ์ทวิภาคี
ฝรั่งเศสพร้อมจะทำงานกับรัฐบาลไทยชุดต่อไปในบริบทที่เอื้ออำนวยต่อการเสริมสร้างและแลกเปลี่ยนเชิงลึกระหว่างสองประเทศ
และทั้งสองประเทศแสดงความตั้งใจผลักดันความร่วมมือทุกด้านอย่างเป็นรูปธรรม
“ตีแยรี มาตู” เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทยได้ส่งสารถึงประเทศไทยในโอกาสวันชาติฝรั่งเศส โดยระบุว่า วันที่ 14 ก.ค.ของทุกปี ตรงกับวันชาติของสาธารณรัฐฝรั่งเศส เป็นโอกาสอันดีที่จะส่งเสริมให้ทั่วโลกได้รู้จักคำขวัญประจำชาติของฝรั่งเศสที่ว่า “เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ” อันเป็นรากฐานของชาติฝรั่งเศสและเป็นสิ่งขับเคลื่อนค่านิยมสากลที่ฝรั่งเศสร่วมแบ่งปันกับไทย
ดังจะเห็นได้จากยอดผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเมื่อวันที่ 14 พ.ค. ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์และแสดงให้เห็นว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งแก่กระบวนการและค่านิยมประชาธิปไตย ในขณะที่กำลังเขียนสารฉบับนี้ ไทยยังคงอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ซึ่งฝรั่งเศสพร้อมที่จะทำงานกับรัฐบาลไทยชุดต่อไปในบริบทที่เอื้ออำนวยต่อการเสริมสร้าง การแลกเปลี่ยนในเชิงลึกระหว่างสองประเทศ
ความสัมพันธ์ทวิภาคีของฝรั่งเศสและไทย มีพื้นฐานที่มั่นคงและแข็งแกร่งมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไทยเป็นหุ้นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของฝรั่งเศสในเอเชีย ทั้งสองประเทศจะเฉลิมฉลองครบรอบ 340 ปี
การติดต่อครั้งแรกระหว่างฝรั่งเศสกับสยามในปี 2568 และครบรอบ 170 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตฝรั่งเศส-ไทยในปี 2569 ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศไม่เพียงฝังรากลึกในประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังมุ่งมั่นเดินหน้าสู่อนาคต ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
แผนการ (Roadmap) สำหรับการดำเนินความสัมพันธ์ฝรั่งเศส-ไทย (ค.ศ. 2022-2024) ซึ่งลงนามเมื่อปี 2565 ณ กรุงปารีส ระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่าย กำหนดเป้าหมายสำคัญเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ฝรั่งเศส-ไทยสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศได้แสดงความตั้งใจที่จะผลักดันความร่วมมือในโครงการต่าง ๆ ทุกด้านให้เป็นรูปธรรม ซึ่งดำเนินการทั้งในรูปแบบการประชุมหารือร่วมกัน ได้แก่ การหารือระดับสูงด้านเศรษฐกิจ การประชุมคณะกรรมการกลาโหมที่จะจัดขึ้นครั้งต่อไปในเดือน พ.ย. 2566 ณ กรุงปารีส
การประชุมปรึกษาหารือทางการเมือง การเจรจา 2+2 ที่จะมีขึ้นครั้งแรกระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับกระทรวงกลาโหมของทั้งสองฝ่าย และในรูปแบบการลงนามหรือการเจรจาเอกสารสำคัญ เช่น ปฏิญญาแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือฝรั่งเศส-ไทยในสาขาคมนาคมขนส่ง ปฏิญญาแสดงเจตจำนงที่อยู่ระหว่างจัดทำในสาขาการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานและความหลากหลายทางชีวภาพ หรือความตกลงฝรั่งเศส-ไทยด้านการวิจัยและการอุดมศึกษา
แผนการดังกล่าวได้ลงนามในช่วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเกี่ยวกับความร่วมมือในอินโด-แปซิฟิก ในวาระที่ฝรั่งเศสเป็นประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปและในวาระที่ไทยในฐานะสมาชิกสำคัญของอาเซียนเป็นประธานเอเปค และได้รับการตอกย้ำความสำคัญในระดับสูงสุดในช่วงการเยือนไทยของนายเอ็มมานูแอล มาครงประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 16-18 พ.ย. 2565 เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค นับเป็นครั้งแรกที่มีการเชิญผู้นำประเทศและรัฐบาลยุโรปเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว
การเยือนครั้งนี้ยังพิสูจน์ถึงการที่ฝรั่งเศสให้ความสำคัญในลำดับต้นแก่ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่ตนเองมีบทบาทอย่างเต็มที่ รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างฝรั่งเศสกับไทย ซึ่งวาระดังกล่าวได้เปิดทางสู่การดำเนินการเพื่ออนาคตใน 2 มิติ
มิติแรก เกี่ยวข้องกับความตั้งใจของทั้งสองฝ่ายที่จะทำงานร่วมกันเพื่อรับมือกับความท้าทายในประเด็นระดับโลกได้แก่ การต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปกป้องสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพตลอดจนการดูแลรักษาสุขภาพของมนุษย์ ในการนี้ ไทยได้ลงนามในแถลงการณ์แสดงเจตจำนงเข้าร่วมข้อริเริ่ม Preventing Zoonotic Disease Emergence (PREZODE) และการสนับสนุนกลุ่ม High Ambition Coalition (HAC) for Nature and People ซึ่งเป็นกลไกที่ฝรั่งเศสเป็นผู้ริเริ่มและสนับสนุน
มิติที่สอง เกี่ยวข้องกับความปรารถนาของทั้งสองฝ่ายที่จะทำให้นวัตกรรมเป็นแนวทางใหม่ในการดำเนินความสัมพันธ์ทวิภาคี โดยได้กำหนดให้ปี 2566 เป็นปีแห่งนวัตกรรมฝรั่งเศส-ไทย และเตรียมที่จะสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมฝรั่งเศส-ไทยเพื่อผลักดันให้เกิดโครงการความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ การอุดมศึกษาและเทคนิคในสาขาหลักต่าง ๆ ได้แก่ อากาศและอวกาศ สุขภาพและอาหาร เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG) รวมทั้งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ทั้งนี้ การเยือนไทยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาและวิจัยฝรั่งเศสในเดือน ต.ค. 2566 จะเป็นโอกาสในการส่งเสริมมิติดังกล่าวในเชิงลึก
นอกจากนี้ ช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ฝรั่งเศสได้แสดงออกซึ่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันต่อไทยผ่านการสนับสนุนวัคซีนจำนวนมากกว่า 4.2 ล้านโดส เพื่อให้จากนี้ไป “วิกฤติสาธารณสุขดังกล่าวจะกลายเป็นเพียงความทรงจำอันเลวร้าย”