โรงเรียนปิดช่วงโควิด เด็กหลุดจากระบบ กระทบ GDP ไทยร่วงระยะยาว
การปิดโรงเรียนในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาจทำลายศักยภาพของการเติบโตเศรษฐกิจไทย ยิ่งเด็กหลุดจากระบบมากเท่าไร ทุนมนุษย์ในอนาคตยิ่งมีคุณภาพต่ำมากเท่านั้น ส่งผลทำให้ GDP และการลงทุนของไทย เสี่ยงตกต่ำในระยาว
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีอ้างอิงรายงานจาก "อ็อกฟอร์ด อีโคโนมิก" ธุรกิจให้คำปรึกษาด้านเศรษฐกิจ เผยว่า โรงเรียนปิดในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาจทำลายศักยภาพของการเติบโตเศรษฐกิจ 500,000 ล้านดอลลาร์ ในหลายประเทศของทวีปเอเชีย เช่น อินเดีย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และไทย
รายงานดังกล่าว ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2564 ในแต่ละเขตเศรษฐกิจดังกล่าว อาจสูญเสียศักยภาพการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โดยเฉลี่ย 0.3-0.8% ซึ่งประเทศข้างต้น อาจสูญเสียจีดีพีโดยรวมประมาณ 511,000 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ หลายโรงเรียนทั่วโลกต้องปิดทำการ เนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2563 นักเรียนต้องเปลี่ยนจากการเรียนในชั้นเรียน เป็นการเรียนออนไลน์หลายเดือน
หลายโรงเรียนในฟิลิปปินส์ ต้องปิดทำการเป็นเวลา 18 เดือน ช่วงเดือน ก.พ.2563-มี.ค. 2565 นานกว่าประเทศอื่น ๆ ที่กล่าวไปข้างต้น
ด้วยเหตุนี้ จีดีพีและการลงทุนระหว่างปี 2564-2578 ของฟิลิปปินส์ อาจสูญเสียศักยภาพการเติบโตมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
เมื่อเทียบกับโรงเรียนในไทย ที่ปิดทำการเป็นระยะเวลา 10 เดือน ถือเป็นระยะเวลาปิดโรงเรียนที่น้อยที่สุดท่ามกลาง 5 ประเทศที่ระบุไว้ในตอนแรก รายงานดังกล่าว คาดว่า จีดีพีและการลงทุนของไทย อาจสูญเสียศักยภาพเติบโตในช่วงเวลาเดียวกับฟิลิปปินส์ แต่รายงานย้ำว่า
จีดีพีไทยต่ำกว่าฟิลิปปินส์ และคนไทยมีระดับการศึกษาที่ด้อยกว่า นั่นหมายความว่า ไทยอาจสูญเสียศักยภาพทางเศรษฐกิจน้อยกว่า เพราะฐานจีดีพีต่ำกว่า
- โรงเรียนปิด กระทบการลงทุนอย่างไร?
เด็กนักเรียนหลายคนในประเทศกำลังพัฒนา มาจากครัวเรือนรายได้ต่ำ และไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต, เทคโนโลยี หรือพื้นที่อำนวยความสะดวกสำหรับการเรียนได้อย่างเพียงพอ ในช่วงที่โรงเรียนปิดทำการเพราะโควิด เด็กเหล่านี้จะหลุดออกจากระบบการศึกษา ส่งผลให้ผลผลิตของเศรษฐกิจตกต่ำในระยะยาว เพราะแรงงานในอนาคตมีรายได้ต่ำ และมีอำนาจใช้จ่ายลดลง
รายงานดังกล่าว เตือนว่า
“ทุนมนุษย์ รายได้ และสุขภาพของประชากรที่อยู่ในระดับต่ำ อาจลดการสะสมทุนมนุษย์ของรุ่นลูกรุ่นหลานในอนาคต และสร้างวงจรอุบาทว์ให้คนอีกหลายรุ่น”
รายงานคาดการณ์ด้วยว่า ระดับรายได้ที่น้อยและการบริโภคต่ำ อาจส่งผลให้เศรษฐกิจทั้ง 5 ประเทศ ในช่วงปี 2564-2578 ลดลง 240,000 ล้านดอลลาร์
สำหรับธุรกิจภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ อาจขาดความเชื่อมั่นด้านการลงทุนใน 5 ประเทศดังกล่าว ซึ่งอ็อกฟอร์ด อีโคโนมิก คาดการณ์ว่า การลงทุนตราสารหนี้ทั้ง 5 ประเทศ อาจลดลง 181,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วงปี 2564-2578 และอินเดีย อาจสูญเสียการลงทุนมากที่สุดเกือบ 100,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาดังกล่าว รองลงมาเป็นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และไทย ตามลำดับ