'เศรษฐา'ให้สัมภาษณ์สื่อนอก ยอมรับการค้าเสรีของไทยยังตามหลังเวียดนาม
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีของไทยให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์กที่กรุงนิวยอร์กว่า ไทยจำเป็นต้องสร้างความรุดหน้าเพื่อให้ตามทันประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค หลังจากที่ไทยอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารและเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมืองมาเป็นเวลาหลายปี
มั่นใจเศรษฐกิจไทยโตได้ 5% ต่อปี
นายเศรษฐาซึ่งกำลังอยู่ในนครนิวยอร์กของสหรัฐเพื่อเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UNGA) ครั้งที่ 78 กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากข้อตกลงการค้าเสรี เขาพบว่า "ไทยยังตามหลังเวียดนาม" และรัฐบาลชุดที่แล้วไม่ได้มีการเจรจาที่มากเพียงพอในการดึงดูดประเทศคู่ค้าให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ นายเศรษฐากล่าวว่า เป้าหมายในระหว่างการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขาคือการเร่งผลักดันเศรษฐกิจให้มีการขยายตัวโดยเฉลี่ย 5% ต่อปี โดยจะเน้นกระตุ้นการผลิตและดึงดูดการลงทุนจากบริษัทสหรัฐ ซึ่งรวมถึงเทสลา โดยเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่นายเศรษฐาคาดหวังนั้น อยู่สูงกว่าระดับ 1.8% ในไตรมาส 2/2566 เมื่อเทียบเป็นรายปี
"ที่ผ่านมาเรามีการปิดประเทศในช่วงเวลาสั้น ๆ และตอนนี้ผมต้องการให้ทั่วโลกรู้ว่าประเทศไทยเปิดกว้างสำหรับภาคธุรกิจ เราไม่ค่อยได้บอกเรื่องราวเกี่ยวกับเศรษฐกิจของไทย และผมมองว่าการที่เม็ดเงินไหลออกจากประเทศไทยนั้น เป็นเพราะส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (interest rate differential) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุก ไม่ใช่เพราะนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ดังนั้น ขอเวลาผม 6 เดือน ผมเชื่อว่าผมสามารถทำให้นักลงทุนเหล่านี้เปลี่ยนใจได้" นายเศรษฐากล่าวกับผู้สื่อข่าวของบลูมเบิร์กในวันพุธ (20 ก.ย.)
เชื่อการลงทุนต่างชาติช่วยหนุนเศรษฐกิจไทย
คำสัมภาษณ์ของนายเศรษฐกิจสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลชุดใหม่ของไทยมีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโต 5% ต่อปีโดยจะเริ่มตั้งแต่ต้นปีหน้า โดยได้แรงหนุนจากการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการอุดหนุนด้านพลังงานครั้งใหม่ การพักชำระหนี้ให้กับเกษตรกรและบริษัทขนาดเล็กเป็นเวลา 3 ปี การยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน และแผนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
ทั้งนี้ นายเศรษฐามองว่า ยังมีเครื่องมือสำคัญอีก 2 อย่างที่จะช่วยให้ไทยบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งก็คือการลงทุนจากต่างประเทศ และการใช้จ่ายของรัฐบาล
นายเศรษฐาได้แสดงความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยมีศักยภาพมากพอที่จะขยายตัวได้ถึง 6% หรือ 7% ภายในปีที่ 3 ของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขา แม้เขายอมรับว่าอาจมีความท้าทายอยู่มากมายก็ตาม
บริษัทเทสลาเป็นหนึ่งในบริษัทสหรัฐที่นายเศรษฐากล่าวว่าเขาจะเดินทางไปเยี่ยมชมในระหว่างการปฏิบัติภารกิจที่สหรัฐ พร้อมกับกล่าวว่า เขาวางแผนที่จะพบปะกับผู้บริหารอีกหลายบริษัทเมื่อเขากลับมายังสหรัฐอีกครั้งในเดือนพ.ย. เพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APEC Summit) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองซานฟรานซิสโก โดยมีประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นเจ้าภาพการประชุม และในโอกาสนี้เขาจะกระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
คาดหวังจีน-สหรัฐได้ประโยชน์จากไทยเปิดรับธุรกิจต่างชาติ
เมื่อผู้สื่อข่าวของบลูมเบิร์กถามความเห็นเกี่ยวกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นายเศรษฐากล่าวว่า "นี่เป็นหนึ่งในประเด็นที่ผมกังวลมากที่สุด ผมกังวลว่าประเทศเล็ก ๆ จะถูกบีบให้ต้องเลือกข้าง"
สำหรับในเรื่องนี้ นายเศรษฐาให้เครดิตจีนในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ของไทย และระบุถึงสหรัฐในฐานะพันธมิตรทางการค้าที่เก่าแก่ที่สุดของไทย โดยเขากล่าวว่า "ผมต้องการให้ทั้งชาวจีนและชาวอเมริกันได้ประโยชน์จากการที่ไทยเปิดกว้างให้กับธุรกิจของทั้งสองประเทศ"