กลุ่มจีนสีเทาเขย่า ‘สิงคโปร์’ ทำลายภาพลักษณ์ชาติโปร่งใส
ภาพลักษณ์ของสิงคโปร์ ในฐานะฮับเศรษฐกิจการเงินที่โปร่งใสที่สุด ขาวสะอาดที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ทั้งในเอเชียและในระดับโลก กำลังถูกสั่นคลอนกับคดีการฟอกเงินครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นในประเทศนี้
ภาพลักษณ์ของ “สิงคโปร์” ในฐานะฮับเศรษฐกิจการเงินที่โปร่งใสที่สุด ขาวสะอาดที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ทั้งในเอเชียและในระดับโลก กำลังถูกสั่นคลอนกับคดีการฟอกเงินครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นในประเทศนี้ และทำให้เกิดการตั้งคำถามขึ้นว่า สิงคโปร์ยังสามารถรั้งความเป็นผู้นำของฮับการเงินในเอเชียได้อยู่หรือไม่
เหตุการณ์นี้เกี่ยวพันโดยตรงกับกลุ่ม “ทุนจีนสีเทา” ที่ถือพาสปอร์ตหลายสัญชาติตั้งแต่ กัมพูชา ทูร์เคีย ไซปรัส และวานูอานู หลังจากตำรวจสิงคโปร์ออกปฏิบัติการกวาดจับกุมครั้งใหญ่ชนิดแทบจะปิดเกาะ พร้อมรวบตัวผู้ต้องสงสัยชาวต่างชาติเหล่านี้ได้ 10 คน และยึดทรัพย์รวมมูลค่าถึง 1,800 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ แต่ภายหลังขยายผลเพิ่มเติมรวมมูลค่าทรัพย์สินที่ยึดได้เพิ่มขึ้นเป็น 2,400 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
คนสิงคโปร์และผู้ที่เกี่ยวข้องสะท้อนความเห็นถึงเรื่องนี้ในหลายมุม บ้างก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะรัฐสามารถตรวจพบและทลายกลุ่มทุนจีนสีเทานี้ได้ เท่ากับว่ากลไกการทำงานของรัฐบาลยังทำงานได้ดีอยู่ แต่บางส่วนก็กังวลว่านี่คือข่าวร้ายที่กลไกของสิงคโปร์ถูกเจาะลงแล้ว และบางส่วนยิ่งกังวลหนักขึ้นไปอีกว่านี่อาจเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ของขบวนการฟอกเงินในสิงคโปร์ที่อาจมีอะไรลึกกว่าที่คิด
ทลายแก๊งทุนจีนสีเทาฟอกเงินครั้งใหญ่
อัลจาซีราห์รายงานว่าเมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ตำรวจสิงคโปร์ได้ออกปฏิบัติการบุกจับกุมแก๊งทุนจีนสีเทา 10 คน อายุระหว่าง 31 - 44 ปี ทั้งหมดมาจากมณฑลฝูเจี้ยน ทางภาคตะวันออกของจีน แต่กลับมีพาสปอร์ตหลากสัญชาติจากทั่วโลก อาทิ กัมพูชา ในเอเชีย ไซปรัส ในยุโรป ไปจนถึงหมู่เกาะวานูอาตู ในแปซิฟิก โดยตำรวจสามารถยึดของกลางได้ตั้งแต่อสังหาริมทรัพย์ คริปโทเคอร์เรนซี กระเป๋าแอร์เมส นาฬิกาปาเต๊ก ฟิลิปป์ วิสกี้แมคคัลแลน ไปจนถึงรถยนต์หรูโรลส์รอยซ์และเบนท์ลีย์ แต่ล่าสุดตำรวจขยายผลพบของกลางเพิ่ม อาทิ ทองคำแท่งรวม 68 แท่ง กระเป๋าแบรนด์เนมรวม 294 ใบ และนาฬิกาหรูรวม 164 เรือน
ตำรวจสิงคโปร์อ้างว่าทรัพย์ที่ยึดได้เหล่านี้มาจากขบวนการแก๊งอาชญากรรมผิดกฎหมายในต่างประเทศ รวมถึงการหลอกลวงและการพนันออนไลน์ ก่อนจะผ่องถ่ายเข้ามาในสิงคโปร์ และเข้าสู่กระบวนการฟอกเงินในประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางการเงินแห่งเอเชีย หรือ “สวิตเซอร์แลนด์แห่งตะวันออก” ในฐานะฮับการเงินที่มีประสิทธิภาพและมีอัตราอาชญากรรมต่ำ
จนถึงปัจจุบัน สิงคโปร์มักจะอยู่ “อันดับ 1” ของเอเชียมาตลอดในแง่ความโปร่งใสและการต่อต้านคอร์รัปชั่น เช่น ดัชนีชี้วัดการคอร์รัปชั่น หรือ CPI ปี 2022 ที่ขึ้นแท่นในอันดับ 5 ของโลกจาก 180 ประเทศ ส่วนดัชนีชี้วัดความเสี่ยงการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่กลุ่มก่อการร้าย Basel AML Index 2022 สิงคโปร์ก็อยู่ในอันดับ 100 จากทั้งหมด 128 ประเทศ (ยิ่งอันดับสูงยิ่งค่าความเสี่ยงต่ำ)
ยิ่งกฎหมายเข้ม อาชญากรยิ่งอยากเสี่ยงท้าทาย
การฟอกเงินนั้นทำได้หลายวิธีหลากช่องทาง ตั้งแต่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซื้อคริปโทเคอร์เรนซี ไปจนถึงเข้าบ่อนกาสิโน (ถูกกฎหมาย) และมาลงทุนในตลาดหุ้น
มาค หยุน ทีน ผู้เชี่ยวชาญด้านบรรษัทภิบาลจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าวว่า ส่วนใหญ่แล้วเคสการฟอกเงินมักจะเกี่ยวข้องบริษัทที่ตั้งอยู่ในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน หรือประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์ของการเลี่ยงภาษี (Tax Haven) เพราะติดตามข้อมูลแทบไม่ได้ แต่เมื่อเหตุการณ์นี้มาเกิดขึ้นในสิงคโปร์จึงทำให้น่ากังวลว่าปัญหาอาจจะลงลึกและเป็นวงกว้างกว่าที่คิดก็เป็นได้
สอดคล้องกับ ยูจีน ตัน ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ ที่ระบุว่าสิงคโปร์ดึงดูดบรรดาอาชญากรให้เข้ามาฟอกเงิน เพราะหากผ่านด่านเข้าไปสู่ระบบการเงินในสิงคโปร์ได้สำเร็จแล้วก็แทบจะไม่ถูกสงสัยอะไรอีก และไม่ได้มีแค่การฟอกเงินเท่านั้น
“บรรดาแก๊งฟอกเงินอยากจะเข้ามาเพราะมันคุ้มค่าที่จะเสี่ยง เพราะหากฟอกเงินสำเร็จก็จะเป็นใบเบิกทางเอาเงินออกไปประเทศเข้มๆ อย่าง สหราชอาณาจักร หรือกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ได้ ซึ่งง่ายกว่าการเอาเงินไปฟอกในประเทศเหล่านี้” ตัน กล่าว
ถึงเวลารื้อการตรวจสอบใหม่
สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ (CEA) ได้เร่งสอบสวนว่ามีนายหน้าอสังหาฯ เกี่ยวข้องในคดีนี้หรือไม่ ส่วนในมุมทางการเมืองนั้นก็มีความพยายามตั้งคำถามในสภาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งกระทรวงมหาดไทยของสิงคโปร์เตรียมจะแถลงความชัดเจนในเดือน ต.ค.นี้
ศาสตราจารย์กฎหมายมองว่า ความย่อหย่อนอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงของการตรวจสอบขั้นปลายน้ำ หลังจากที่เงินเข้ามาอยู่ในระบบการเงินเรียบร้อยแล้ว เช่น ธนาคารพาณิชย์อาจจะปล่อยผ่านเคสธุรกรรมที่มีความน่าสงสัยอยู่บ้าง เพราะคิดว่าผ่านด่านของภาครัฐมาแล้วจึงน่าจะไม่มีปัญหา