รมว.ต่างประเทศญี่ปุ่นเยือนไทย "ปานปรีย์" เดินหน้าถกการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้พบหารือกับนางคามิกาวะ โยโกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ที่ห้องบัวแก้ว กระทรวงการต่างประเทศ ในโอกาสที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นเดินทางเยือนไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 12 - 13 ต.ค. 2566 ซึ่งนางคามิกาวะ ถือเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกที่เยือนไทยของรัฐบาลชุดนี้

ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน รวมทั้งยินดีกับความร่วมมือที่ใกล้ชิดในด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศและความสัมพันธ์ระดับประชาชน ตลอดจนพร้อมที่ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างกัน 

ในด้านเศรษฐกิจ ไทยจะดำเนินการ “การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก” โดยไทยกับญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่มีคุณภาพและคุณค่าสูง จึงพร้อมจะร่วมกันส่งเสริมเศรษฐกิจใหม่ อาทิ เศรษฐกิจดิจิทัล นวัตกรรม เศรษฐกิจสีน้ำเงิน เศรษฐกิจสีเขียว ขยายความร่วมมือในสาขาที่ญี่ปุ่นมีศักยภาพ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อุตสาหกรรมการแพทย์ อุตสาหกรรมชีวภาพ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เศรษฐกิจดิจิทัล การสร้างพลังสร้างสรรค์ (Soft Power) ตลอดจนร่วมกันพัฒนาศักยภาพแรงงานฝีมือระดับสูงของไทยและการสร้างเส้นทางอาชีพรองรับผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรโคเซ็น (Kosen) ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสให้เยาวชนของไทยได้มีอาชีพและทักษะที่ดีสำหรับอนาคต 

นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีฯ ยังได้ฝากให้รัฐบาลญี่ปุ่นดูแลเอกชนไทยที่ลงทุนในญี่ปุ่นซึ่งมีประมาณ 30 ราย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการและพลังงานสะอาด ซึ่งรัฐมนตรีคามิกาวะ ยินดีที่จะร่วมมือกับไทยในเรื่องนี้ต่อไป

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือในอนุภูมิภาค ภูมิภาคและระหว่างประเทศ เนื่องจากมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับญี่ปุ่นในกรอบความร่วมมือแม่โขง-ญี่ปุ่น ACMECS และอาเซียนอยู่แล้ว โดยทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและท่าทีในภูมิภาคสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศที่อยู่ในความสนใจร่วมกัน อาทิ สถานการณ์ในตะวันออกกลาง สถานการณ์ในเมียนมา และความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งไทยและญี่ปุ่นพร้อมร่วมมือเพื่อส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ ความมั่นคงและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนร่วมกันต่อไป