อิสราเอล ข่าวกรองผิดพลาดหรือยุทธศาสตร์ล้มเหลว (ตอน 2)
อิสราเอลกำลังเผชิญวิกฤติครั้งร้ายแรงที่สุด ซึ่งไม่ใช่ปรากฏการณ์ หงส์ดำ (Black Swan) ที่สร้างความประหลาดใจโดยศัตรูที่ไม่เคยรู้จักจากแดนไกล แต่เป็น หงส์ขาว (White Swan) ที่ปรากฏตัวโดยการวางแผนของผู้ก่อการร้ายชื่อกระฉ่อนบ้านใกล้เรือนเคียง
18 ปีหลังการถอนตัวออกจากการยึดครองฉนวนกาซา (ปี 2548) กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) เปิดปฏิบัติการทางทหารรุกรานพื้นที่ดังกล่าวสองครั้ง ได้แก่ ยุทธการหลอมตะกั่ว (Operation Cast Lead) เมื่อ ม.ค.2552 ใช้เวลาปฏิบัติการภาคพื้นดิน 15 วัน
และยุทธการป้องกันชายแดน (Operation Protective Edge) ปี 2557 เพื่อโจมตีทำลายฐานที่มั่นของกลุ่มฮามาสโดยใช้เวลาปฏิบัติการ 19 วัน
ปฏิบัติการทางทหารครั้งล่าสุดใช้ชื่อ ยุทธการดาบเหล็ก (Operation Iron Swords) เพื่อตอบโต้การโจมตีแบบกระหายเลือดของกลุ่มฮามาสเมื่อ 7 ต.ค.2566 โดยเปิดฉากโจมตีทางอากาศถล่มเป้าหมายหลายแห่งในฉนวนกาซา และเรียกระดมกำลังพลสำรองกว่า 300,000 นาย เตรียมบุกเข้า “ทำลาย” กลุ่มฮามาส
กองทัพอิสราเอลยืนยันเมื่อช่วงเช้า 14 ต.ค.2566 ว่าได้เริ่มปฏิบัติการโจมตีภาคพื้นดินแล้ว แต่เป็นแบบ “จำกัดวง” เพื่อ “ขจัดภัยคุกคามจากเครือข่ายและโครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มก่อการร้าย” โดยจะรวบรวมหลักฐาน เพื่อช่วยเหลือตัวประกันด้วย IDF ระบุตัวประกันได้อย่างน้อย 212 คนที่น่าจะถูกควบคุมตัวในฉนวนกาซา
การโค่นล้มกลุ่มฮามาสซึ่งฝังรากลึกในฉนวนกาซา (โดยเฉพาะองค์การการกุศล โรงเรียนและมัสยิด การแยกกลุ่มฮามาสออกจากฉนวนกาซาเป็นภารกิจที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้) จะนำไปสู่การสู้รบแบบนองเลือดในเขตเมือง (bloody urban fighting) และก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อตัวประกัน
ยิ่งการสู้รบยืดเยื้อออกไปนานเท่าไร โอกาสที่ความรุนแรงจะขยายตัวไปยังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน (West Bank) และเลบานอนมากขึ้นเท่านั้น หากพลเรือนจำนวนมากเสียชีวิตอย่างป่าเถื่อน ก็จะเป็นอันตรายต่อจุดยืนระหว่างประเทศของอิสราเอล
สาเหตุที่ทำให้อิสราเอลตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าสยดสยองในขณะนี้ น่าจะเป็นผลจากความล้มเหลวของนโยบายต่อปาเลสไตน์กล่าวคือ กลุ่มฮามาสปกครองฉนวนกาซาในปี 2550 (2 ปีหลังการถอนทหารของอิสราเอล) รัฐบาลอิสราเอลต้องเลือกระหว่าง 2 ยุทธศาสตร์ที่เป็นไปได้ทางการเมืองและการทหาร คือ
1) ปรับตัวเข้ากับความเป็นจริงที่กลุ่มฮามาสเป็น 1 ใน 2 กลุ่มการเมืองหลักในดินแดนปาเลสไตน์ อีกกลุ่มคือฟาตาห์ ซึ่งมีฐานที่มั่นในเวสต์แบงก์
รัฐบาลอิสราเอลใดๆ ที่ต้องการยุติความขัดแย้งกับปาเลสไตน์อย่างจริงจัง จะต้องพยายามรวมกลุ่มฮามาสเข้าสู่กระบวนการทางการเมืองทวิภาคีควบคู่กับกลุ่มฟาตาห์ซึ่งเป็นคู่แข่ง (อิสราเอลต้องเจรจาโดยตรงกับกลุ่มฮามาส) พร้อมกับสนับสนุนการปรองดองระหว่างกลุ่มฮามาสและฟาตาห์
2) ดำเนินกลยุทธ์ทำให้กลุ่มฮามาสอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับคณะบริหารปาเลสไตน์ (Palestinian Authority) ดำเนินการโดยกลุ่มฟาตาห์โดยรวมถึงกระบวนการทางการเมืองที่น่าเชื่อถือ นำไปสู่ข้อตกลงสถานะถาวร ซึ่งอาจบรรลุผลสำเร็จโดยข้อตกลงย่อยและการดำเนินการฝ่ายเดียว
ทั้งสองยุทธศาสตร์มีจุดอ่อนและอาจมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูง หลังสิ้นสุดรัฐบาลเอฮุด โอลเมิร์ต ในปี 2552 รัฐบาลอิสราเอลชุดต่อมาไม่ได้ใช้ทั้งสองทางเลือก เอฮุด โอลเมิร์ต เคยพยายามใช้ทางเลือกที่สองระยะหนึ่ง แต่ถูกกดดันให้ลาออกก่อนบรรลุเป้าหมายใดๆ ต่อมาเบนจามิน เนทันยาฮู รับช่วงต่อโดยใช้ยุทธศาสตร์ที่สามอันนำมาซึ่งความล้มเหลว
ในปี 2552 เนทันยาฮู กล่าวสุนทรพจน์ที่มหาวิทยาลัย Bar-Ilan อิสราเอล เขาประกาศยอมรับรัฐปาเลสไตน์โดยมีเงื่อนไขหลายประการ (ความหมายคือคัดค้านการสถาปนารัฐปาเลสไตน์)
เนทันยาฮูแทนที่กระบวนการทางการเมืองโดยใช้ยุทธศาสตร์ “แบ่งแยกและปกครอง" (divide-and-conquer) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายทำให้คณะบริหารปาเลสไตน์ใน (เมืองรามัลเลาะห์) เวสต์แบงก์อ่อนแอลง และสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา
เนทันยาฮู เชื่อว่า ยุทธศาสตร์นี้จะเป็นหนทางดีที่สุดที่ทำให้มั่นใจว่า ไม่มีกระบวนการทางการเมืองที่ปฏิบัติได้ หรืออีกนัยหนึ่งอิสราเอลใช้กลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาจัดการกลุ่มฟาตาห์ในเวสต์แบงก์ อิทธิพลของกลุ่มหัวรุนแรงจะบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของกลุ่มสายกลาง (คู่เจรจาสันติภาพของอิสราเอล) สมความมุ่งหวังของเนทันยาฮู
ยุทธศาสตร์ที่สามเร่งตัวไปสู่ระดับใหม่ โดยเนทันยาฮูจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคเคร่งศาสนาและชาตินิยมสุดโต่ง ซึ่งประกาศอย่างเปิดเผยว่า อิสราเอลจะไม่เปิดทางให้มีการสถาปนารัฐปาเลไตน์ หรือให้สิทธิเท่าเทียม หรือยุติการปล้นดินแดนปาเลสไตน์ โดยการสร้างนิคมชาวยิว
นโยบายนี้ส่งผลให้กองทัพอิสราเอลส่วนใหญ่ถูกส่งไปปกป้องผู้ตั้งถิ่นฐานในเวสต์แบงก์ โดยแลกกับค่าใช้จ่ายในการป้องกันชายแดนรอบฉนวนกาซา
อิสราเอลสร้างเสริมสถานภาพของตนในตะวันออกกลางด้วยวิธีการทูต โดยลงนามใน “ข้อตกลงอับราฮัม" (Abraham Accords) กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และบาห์เรนในปี 2563 ต่อมาได้เพิ่มโมร็อกโกและซูดาน จนถึงต้น ต.ค.2566 ดูเหมือนว่าซาอุดีอาระเบียอาจเข้าร่วมด้วย แต่เกิดเหตุโจมตีของกลุ่มฮามาสทำให้ข้อตลงสันติภาพหยุดชะงัก
วิกฤติในปัจจุบันแสดงให้เห็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของยุทธศาสตร์นี้ คงเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลที่จะหวังว่าอิสราเอลสามารถรวมอำนาจทางทหารและหน่วยงานรักษาความปลอดภัยชาวปาเลสไตน์หลายล้านคน ที่อ้างสิทธิในการกำหนดใจตนเอง (self-determination) และมีชีวิตอิสระตามปกติได้อย่างไม่มีกำหนด
(สิทธิในการกำหนดใจตนเอง (self-determination) เป็นแนวคิดที่มีมาก่อนการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ (UN) ปรากฏชัดเจนเป็นรูปธรรมเมื่อมีการนำสิทธิในการกำหนดใจตนเองไปกล่าวไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ ทำให้สิทธิในการกำหนดใจตนเองมีผลบังคับใช้แก่รัฐสมาชิก UN ด้วย
ดูรายละเอียดใน จุลสารความมั่นคงศึกษา ฉบับที่ 59 เรื่อง “หลักการกำหนดใจตนเอง” หรือ The Principle of Self-Determination โดยณัฐกฤษตา เมฆา และ ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นบรรณาธิการ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ มิ.ย.2552)
ในที่สุด ผู้ถูกกดขี่จะลุกขึ้นต่อสู้กับผู้กดขี่ ความทุกข์ทรมานภายใต้การกดขี่และความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะมีอิสรภาพทำให้เกิดความตั้งใจแน่วแน่
นักรบฮามาสที่วางแผนโจมตีเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีไหวพริบอย่างมากในการแสวงประโยชน์จากการขาดการเตรียมพร้อมของอิสราเอล
ในที่สุด อิสราเอลจะต้องเลือกระหว่างวิธีแก้ปัญหาแบบสองรัฐ (Two-State Solution) เคียงข้างกันกับรัฐเดียว (Single State) ที่พลเมืองผู้อยู่อาศัยทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน และพยายามทำให้สิ่งที่อิสราเอลเลือกได้ผล โดยหวังว่าชาวอิสราเอลที่ยืนหยัดอดทนต่อการล่มสลายของแนวทางปัจจุบันจะให้การสนับสนุน.