“อิสราเอล” ข่าวกรองผิดพลาดหรือยุทธศาสตร์ล้มเหลว (ตอน 1)
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อทำความเข้าใจและอธิบายสาเหตุความล้มเหลวของ “การข่าวกรอง” อิสราเอลซึ่งเผยให้เห็นจุดอ่อนของระบบป้องกันประเทศและยุทธศาสตร์ (นโยบาย) อิสราเอลต่อปาเลสไตน์ โดยใช้กรรมวิธีรวบรวมและวิเคราะห์ข่าวกรองจากแหล่งเปิด (Open Source Intelligence - OSINT)
ข่าวกรองจากแหล่งเปิด คือ ข่าวสารที่รวบรวมจากแหล่งสาธารณะโดยมุ่งหมายตอบสนองความต้องการเฉพาะด้านการข่าวกรอง แหล่งสาธารณะอาจเป็นแบบไม่ต้องเสียเงินหรือต้องเสียค่าสมาชิก (free and subscription-based) แบบ online หรือ offline
ทั้งนี้ OSINT ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่บนอินเตอร์เน็ตซึ่งมีข้อมูลข่าวสารที่มีคุณค่าจำนวนมหาศาล สื่อมวลชน องค์กรสาธารณ คลังสมอง (think tank) มหาวิทยาลัย NGOs และองค์กรของเอกชนล้วนเป็นแหล่งที่มาของข่าวสารจากแหล่งข่าวเปิด (OSINF)
ปฏิบัติการโจมตีอิสราเอลแบบสายฟ้าแลบของกลุ่มฮามาสเมื่อต้นตุลาคม 2023 นอกจากสะท้อนความล้มเหลวของ “หน่วยข่าวกรอง” ระดับตำนานของชาติที่มีระบบความมั่นคงเข้มแข็งที่สุดในโลก ยังทำให้ภูมิศาสตร์การเมืองของภูมิภาคพลิกผัน ส่งผลต่อนโยบายตะวันออกกลางของสหรัฐฯและพันธมิตร รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงพลวัตของความขัดแย้งที่อาจขยายตัวกลายเป็นสงครามในภูมิภาค
การโจมตีแบบทำลายล้างข้ามพรมแดนของกลุ่มฮามาสจากฉนวนกาซาเมื่อ 7 ตุลาคม 2023 ทำให้ฝ่ายอิสราเอลเสียชีวิตมากกว่า 1,200 คน บาดเจ็บกว่า 2,900 คน ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นพลเรือนและเด็ก กลุ่มฮามาสได้จับกุมพลเรือน 150 คนและทหารอิสราเอล (ไม่ทราบจำนวน) เป็นตัวประกัน ขณะที่การโจมตีทางอากาศตอบโต้ของอิสราเอลทำให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาเสียชีวิต 1,055 คน บาดเจ็บ 5,184 คน
ความล้มแหลวของ “ข่าวกรอง” อิสราเอลอาจเกิดจากความผิดพลาดในการปฏิบัติการรวบรวมข่าวกรอง (Intelligence-Collecting) ภาคสนาม รวมทั้งการประเมิน วิเคราะห์และตีความ (interpreting) ข่าวกรอง
โดยมีความเป็นไปได้ 5 รูปแบบ คือ
1) รัฐบาลอิสราเอลประเมินขีดความสามารถของกลุ่มฮามาสไม่ดีพอ
2) ความผิดพลาดในการประเมินความตั้งใจ (intention) ของกลุ่มฮามาส
3) ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายอิสราเอลต่อกลุ่มฮามาส
4) การประเมินประสิทธิภาพของหน่วยงานความมั่นคง และพึ่งพาระบบตรวจการณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ตามแนวชายแดนสูงเกินไป
5) ผู้กำหนดนโยบายระดับสูงของอิสราเอล ไม่เอาใจใส่ต่อการแจ้งเตือนของหน่วยข่าวกรอง เนื่องจากการรวบรวมข่าวกรองไม่สมบูรณ์หรือพฤติกรรมการรับรู้ที่บิดเบือน (Cognitive Bias) รวมทั้งความท้าทายเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข่าวกรอง
ผู้นำอิสราเอลอาจเข้าใจผิดโดยคิดว่ากลุ่มฮามาสไม่มีขีดความสามารถโจมตีขนาดใหญ่ ที่ผ่านมากลุ่มนี้มักยิงจรวดที่มีอานุภาพปานกลางใส่อิสราเอล แต่ไม่เคยส่งนักรบเล็ดลอดออกจากฉนวนกาซา
อิสราเอลมีระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศ (Iron dome) สร้างกำแพงคอนกรีตติดเซ็นเซอร์และรั้วอัจฉริยะ (Smart fence) ติดกล้องตรวจการณ์และปืนกลอัตโนมัติควบคุมจากระยะไกล รวมทั้งจัดตั้งเครือข่าย “สายลับ” จำนวนมากในฉนวนกาซาภายใต้การดูแลของหน่วยข่าวกรองทางทหาร (Aman) และหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (Shin Bet)
ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มฮามาสที่หน่วยข่าวกรองอิสราเอลรวบรวมได้ อาจบ่งชี้ถึงการโจมตีที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ยังคลุมเครือขาดรายละเอียดเกี่ยวกับเวลา (when) และวิธีการ (how)
การตีความผิดหรือเพิกเฉยของผู้ใช้ข่าวส่งผลให้การประเมินเจตนาของกลุ่มฮามาสไม่ถูกต้อง ซ้ำรอยความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 50 ปีที่ผ่านมาในสงคราม Yom Kippur ปี 1973 ซึ่งอิสราเอลถูกโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวโดยกองทัพอียิปต์และซีเรีย
การโจมตีของกลุ่มฮามาสครั้งนี้เหมือนถอดแบบจากตำราปฏิบัติการทางทหาร โดยกลุ่มฮามาสใช้โดรนขึ้นบินทำลายสถานีสื่อสารเซลลูลาร์ทหาร และเซ็นเซอร์กล้องที่ติดตั้งตามแนวกำแพงล้อมฉนวนกาซา (เหมือนการทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์) ทำให้ทหารอิสราเอลไม่สามารถแจ้งเตือนไปยังหน่วยอื่น ๆ
จากนั้นหน่วยคอมมานโดกลุ่มฮามาสบุกโจมตีกองบัญชาการกองกำลังป้องกันตนเอง (IDF) ของอิสราเอลที่ตั้งอยู่ทางใต้ของฉนวนกาซา บุกรุกค่ายทหารอย่างน้อย 4 แห่ง กระจายกำลังปฏิบัติการในพื้นที่ของอิสราเอลมากกว่า 20 เมือง
หน่วยปฏิบัติการกลุ่มฮามาสใช้รถแทรกเตอร์เกลี่ยดิน (bulldozer) ทำลายสิ่งกีดขวางรั้วกำแพงซึ่งติดตั้งกล้อง เซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อนและปืนกลอัตโนมัติ 29 จุด เปิดช่องทางให้นักรบติดอาวุธจำนวนนับพันคนผ่านเข้าไปในดินแดนอิสราเอลด้วยรถกระบะและจักรยานยนต์
เช่นเดียวกับการปฏิบัติการร่วมทางทหาร (combined-arms warfare) โดยยิงจรวดคุ้มกันกำลังภาคพื้นดินเสริมด้วยนักรบร่มร่อน (powered glider) ทางอากาศและนักรบทางเรือที่ขึ้นบกทางฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรนียน
ภารกิจที่เป็น “งานยาก” ของหน่วยข่าวกรองคือ การทำความเข้าใจผลกระทบของนโยบายของประเทศตนเองต่อฝ่ายตรงข้าม อิสราเอลเชื่อว่านโยบาย “ไม้อ่อนและไม้แข็ง (carrot and stick)” ในฉนวนกาซาดำเนินไปได้ด้วยดี โดยออกใบอนุญาตให้ชาวปาเลสไตน์ 15,000 คนเข้าไปทำงานในอิสราเอลรายวัน ซึ่งให้ค่าแรงสูงกว่าในฉนวนกาซา
แต่ชาวปาเลสไตน์กลับเห็นว่า ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจไม่สามารถชดเชยสิทธิทางการเมืองของพวกตนที่สูญเสียไป
ความท้าทายสำคัญอย่างหนึ่งของหน่วยข่าวกรอง คือ การโน้มน้าว (convincing) ให้ผู้นำทางการเมืองตระหนักถึงภัยคุกคาม นักวิชาการความมั่นคง (securocrat) อิสราเอลจำนวนมากแสดงความคับข้องใจกับการที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู เพิกเฉยต่อภัยคุกคามจากฉนวนกาซา โดยโอนเอียงไปมุ่งความสนใจอิหร่านและกลุ่มฮิซบอลลาห์ที่อยู่ทางใต้ของเลบานอน
ขณะเดียวกันสถานการณ์ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน (west bank) เริ่มทวีความตึงเครียดจากความรุนแรงระหว่างชาวปาเสไตน์กับผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิว (Israeli Settlers) ผู้สนันบสนุนทางการเมืองของรัฐบาลขวาจัดที่ตั้งขึ้นเมื่อปลายปี 2022
รัฐมนตรีของพรรคการเมืองฝ่ายขวาเรียกร้องให้ทุ่มเททรัพยากรไปรักษาความสงบใน west bank มากขึ้น อาจเป็นเหตุให้เกิดความลำเอียงในการตัดสินใจและจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วน
ความสำเร็จของกลุ่มฮามาสและความล้มเหลวด้านข่าวกรองอิสราเอล มีแนวโน้มจะเป็นกรณีศึกษาอย่างใกล้ชิดของกองทัพทั่วโลก ช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้
นักคิดทางการทหารโต้แย้งว่าเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งประจำที่และอาวุธที่มีความแม่นยำสูง ทำให้การรุกคืบของกองทัพกรทำได้ยากขึ้น เพราะการรวมกำลังขนาดใหญ่มักจะถูกตรวจพบและโจมตี ด้วยเหตุนี้กองทัพยูเครนจึงละทิ้งการรุกตอบโต้ด้วยกองกำลังขนาดใหญ่ โดยหันไปใช้ยุทธวิธีโจมตีด้วยกองกำลังขนาดเล็ก
การจู่โจมของกลุ่มฮามาสชี้ให้เห็นว่าการแทรกซึมด้วยกองกำลังขนาดใหญ่ (large-scale infiltration) ยังคงเป็นไปได้ แม้ต้องเผชิญเทคโนโลยีตรวจตราที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก หากฝ่ายเข้าตีมีความขยัน (diligent) และฝ่ายป้องกันกระหยิ่มใจ (complacent) ในความล้ำหน้าของเทคโนโลยีเฝ้าระวัง
ถือเป็นบทเรียนสำหรับรัฐที่เผชิญศัตรูข้ามพรมแดนที่มีระยะทางยาว เช่น กลุ่มประเทศริมทะเลบอลติก หรือเกาหลีใต้ ทั้งนี้ กลุ่มฮามาสยังคงเป็นตัวแสดง “พันทาง (hybrid)” ซึ่งไม่ใช่กลุ่มก่อการร้ายแบบเก่า (old-fashioned) หรือกองทัพตามแบบ (conventional army) แต่คล้ายคลึงกับกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ซึ่งผสมผสานองค์ประกอบทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน
หลังเสร็จสิ้นศึกสงครามครั้งนี้ คงไม่ยากที่จะกล่าวโทษหา “ผู้กระทำผิด” ที่ละสายตาจากฉนวนกาซา เบนจามิน เนทันยาฮู คงตระหนักถึงความล้มเหลวของอิสราเอลในปี 1973 ซึ่งบ่อนทำลายโกลดา เมียร์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นและนำไปสู่การลาออกของเธอในที่สุด
"นักวิเคราะห์ข่าวกรองต้องทำงานภายใต้แรงกดดันหลายอย่าง พวกคุณต้องแยกให้ออกระหว่างลำดับความสำคัญ (Priority) กับนัยสำคัญ (Significant) ทั้งสองคำมีความสำคัญแต่ความหมายไม่เหมือนกัน" อดุลย์ กอวัฒนา อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (คุณลุงข่าวกรอง)