ดูการศึกผ่านหนังเจ็ดเซียนซามูไรแบบนักข่าวกรอง
การศึกทุกครั้งสิ่งที่สำคัญมากคือ การรู้ว่าเราจะต้องรบกับใครบนสภาพแวดล้อมอย่างไร หากปราศจากซึ่งข้อมูลที่ว่านี้ ต่อให้จัดกำลังดีเพียงไร ยุทโธปกรณ์พรั่งพร้อมทันสมัยขนาดไหน เสบียงท่วมท้น ก็มีโอกาสแพ้มากกว่าชนะ ดังเช่นภาพยนตร์โบราณ เจ็ดเซียนซามูไร
ศึกใหญ่ในไทยที่กำลังจะเกิดขึ้นและประชาชนกำลังจับตามองก็คือ การเลือกตั้งระหว่างพรรคการเมืองเกินกว่าสิบพรรคไม่เกินเดือนพฤษภาคมนี้ แน่นอนว่าก็ต้องใช้ข่าวกรองรู้ข้าศึกศัตรูเหมือนกับยุทธการอื่น ๆ แต่ที่จะเขียนถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องการเมืองไทย แต่ไพล่ไปวิเคราะห์ภาพยนตร์โบราณด้วยวิชาข่าวกรองเสียนี่
หนังคลาสสิค Seven Samurai หนังปี 1954 ของปรมาจารย์ชาวญี่ปุ่นผู้ล่วงลับ Akira Kurosawa เป็นหนังที่แม้จะไม่ค่อยปรากฏในช่องทีวีธรรมดาหรือช่องบอกรับสมาชิก แต่ก็มีการจัดฉายบ่อยตามสมาคมวัฒนธรรมหรือสถาบันภาพยนตร์ ในอินเตอร์เน็ตก็สามารถดูฟรีได้ทางช่อง Internet Archive
งานของคูโรซาว่าชิ้นมาสเตอร์พีซนี้ถูกกล่าวขวัญและวิเคราะห์กันบ่อยในแง่ของฝีมือการกำกับภาพยนตร์ แต่ดูเหมือนยังไม่มีใครมองในแง่มุมการนำข่าวกรองมาใช้ในการดูหนัง ซึ่งที่จริงก็คือมุมมองของฝ่ายตัวเอกที่จะนำความรู้ด้านการข่าวไปใช้รบกับผู้ร้ายนั่นเอง
หนังยาวสามชั่วโมงครึ่งเรื่องนี้ เต็มเปี่ยมด้วยความสนุกของเนื้อเรื่องฉากต่อสู้ น่าติดตามไม่มีเบื่อตั้งแต่นาทีแรกจนนาทีสุดท้าย เรื่องย่อก็คือชาวนาที่ไร้ฝีมือสู้รบสืบทราบมาว่า กองโจรจำนวนหนึ่งจะมาบุกยึดข้าวที่หมู่บ้านของตนจะเก็บเกี่ยวเสร็จในอีกไม่กี่เดือนเอาไปเป็นเสบียง
ตนก็เลยมีเวลาไปจ้างซามูไรซึ่งน่าจะมีฝีมือเชิงต่อสู้กับโจรได้ให้มาปกป้องหมู่บ้านของตน ได้ซามูไรคนแรกแล้วคนต่อ ๆไปก็ตามมาเพราะซามูไรคนนี้เป็นคนไปเชิญชวนคนอื่นมาช่วยสู้รบรวม 7 นาย
เมื่อกลุ่มซามูไรมาถึงหมู่บ้านในหุบเขาแล้ว เรื่องที่เหลือก่อนการสู้รบกับโจรก็คือ การเตรียมสนามรบให้พร้อมทำศึก และสิ่งแรกที่ต้องทำคือการเตรียมสนามรบด้านการข่าว (INTELLIGENCE PREPARATION OF THE BATTLEFIELD – IPB)
ก่อนรับงานปกป้องหมู่บ้านยากจน ซามูไรรู้เรื่องโจรไม่มากนัก จากข่าวสารชั้นต้นที่รู้จากชาวบ้าน คือจำนวนกำลังพลโจรราว 40 นาย น่าจะลงมาจากภูเขาที่อยู่ติดกับหมู่บ้านทางเหนือ เข้าโจมตีหมู่บ้านเพื่อชิงข้าวหลังเก็บเกี่ยว
เป็นการทำความเข้าใจหลักนิยม modus operandi ของข้าศึก แต่ยังขาดข้อมูลอีกมาก เมื่อลงพื้นที่จริง ซามูไรสอบถามชาวบ้านเรื่องระยะเวลาการเก็บเกี่ยวข้าวและลมฟ้าอากาศ ก่อนจะกำหนดได้อย่างแม่นยำว่าเมื่อไหร่คือห้วงเวลาที่ข้าศึกน่าจะทำการรุก
สิ่งที่ข่าวกรองต้องรู้คือ สภาพภูมิศาสตร์ของพื้นที่ปฏิบัติการ (Terrain) ทันทีที่ไปถึงหมู่บ้านซามูไรสำรวจเส้นทางเข้าออกหมู่บ้านเพื่อวางแนวป้องกัน สภาพแวดล้อมบ่งชี้ได้ว่าข้าศึกสามารถใช้ถนนสามทิศทางเข้าโจมตี
จึงดำเนินการทางยุทธการควบคู่ไปกับข่าวกรองด้วย คือ ทางตะวันตกที่เป็นที่โล่ง ฝ่ายบุกจะสามารถปฏิบัติการสะดวก จึงจะเปิดกว้างไว้เพื่อบีบให้โจรใช้แต่เส้นนี้เป็นหลัก ทางตะวันออกนั้นเป็นที่ต่ำจึงชักน้ำให้ท่วมเข้าถึงยาก
ทางใต้ที่มีลำธารเป็นพรมแดนเข้าถึงหมู่บ้านได้ก็ทำลายสะพานข้ามเสีย เพื่อไม่ให้โจรมาทางนี้ ยอมเสียบ้านสองสามหลังด้านนอกสะพานที่ยากแก่การป้องกัน ส่วนทางเหนือเป็นป่าเขาพรมแดนธรรมชาติที่โจรไม่น่าจะควบม้ามา ก็จัดวางกำลังเฝ้าดู
การติดตามหาข่าวข้อมูลข้าศึกเป็นสิ่งที่ซามูไรกระทำทั้งแต่ก่อนเริ่มสู้รบ มีทั้งปฏิบัติการเชิงลึกส่งหน่วยเฉพาะกิจรบพิเศษ (Special Forces) เข้าไปนับจำนวนข้าศึกถึงในค่ายโจร มีทั้งการนับยุทโธปกรณ์ข้าศึก ม้าน่ะมีครบ ธนูกับดาบก็มี
แต่ที่น่ากลัวคืออาวุธปืนไฟที่นับได้ 3 กระบอก อันนี้สำคัญเพราะศักย์อาวุธที่โจรมีสูงกว่าซามูไรทำให้ยากต่อการสกัดกั้น (ต่อมาพิสูจน์แล้วว่าจริง เพราะซามูไรโดนปืนไฟยิงด่าวดิ้นถึงสามคน)
มีการจัดกำลังไปลาดตระเวนจนพบกองสอดแนมข้าศึก จึงทราบสิ่งบอกเหตุว่าข้าศึกจะบุกมาในเร็ววัน ตลอดการรบมีการประเมินความสูญเสียของข้าศึก (Battle Damage Assessment) ตลอดเวลา จนพบว่าท้ายที่สุดแล้วโจรเหลือเพียง 13 นาย
จึงวิเคราะห์ได้ว่าโจรน่าจะสามารถบุกได้อีกรอบเดียว และการที่โจรผ่านการต่อสู้บาดเจ็บล้มตายทั้งวันจึงไม่น่าที่จะโจมตีตอนกลางคืน ฝ่ายตั้งรับจึงพอจะมีเวลาผลัดเปลี่ยนกันพักผ่อนก่อนถึงศึกนัดสุดท้ายเช้ามืดวันรุ่งขึ้น
ที่เล่ามานี่เป็นมุมมองสายข่าวกรองเท่านั้น หากมองภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยสายตาของสายอื่นก็จะสนุกเช่นกัน เช่น ถ้ามองในมุมมองของสายกำลังพล ก็จะพิจารณาในเรื่องของการจัดหากำลังพล การรักษาพยาบาล พิธีศพ เป็นต้น
ถ้ามองในมุมมองสายยุทธการ ก็จะดูเรื่อง การวางแนวป้องกัน การฝึกและยุทธวิธีการต่อสู้ ถ้ามองในมุมมองสายส่งกำลังบำรุง ก็อาจสนใจการจัดหาเสบียง พาหนะและอาวุธ เป็นต้น
ปล. ด้วยความจำเป็นบางประการ คุณเรือรบ เมืองมั่นที่เขียนให้กับกรุงเทพธุรกิจมาถึง 19 ปีต้องขอพักนามปากกานี้ชั่วคราว นามปากกา สิชล ยืนยัง จึงรับหน้าที่เขียนคอลัมน์มองมุมยุทธศาสตร์นี้แทน จนกว่าบรรยากาศของสังคมและการเมืองไทยจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เหมาะสม.