โพลชี้มะกัน 14% ชีวิตดีขึ้นหลังไบเดนเป็นประธานาธิบดี หวั่นกระทบเลือกตั้งรอบหน้า
ผลสำรวจชี้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวสหรัฐเพียง 14% เท่านั้นที่เชื่อว่า ตนเองมีสถานะทางการเงินดีขึ้น หลังประธานาธิบดีโจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่ง บ่งชี้ว่าผลงานเศรษฐกิจประธานาธิบดีไบเดน อาจบั่นทอนศึกเลือกตั้งสหรัฐครั้งหน้า
ไฟแนนเชียล ไทม์ส รายงานว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวสหรัฐเพียง 14% เท่านั้นที่เชื่อว่า พวกเขามีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นหลังประธานาธิบดีโจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่ง นับเป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ว่า ผลงานทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีไบเดน อาจบั่นทอนโอกาสคว้าชัยในศึกเลือกตั้งสหรัฐสมัยหน้า
ผลสำรวจพบว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเกือบ 70% คิดว่า นโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีไบเดนส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของสหรัฐหรือไม่ส่งผลอะไรเลย ซึ่งรวมถึง 33% เชื่อว่า นโยบายดังกล่าว “ส่งผลเสียอย่างมาก” ต่อเศรษฐกิจสหรัฐ มีเพียง 26% เท่านั้นที่ระบุว่า นโยบายดังกล่าวส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ผลสำรวจดังกล่าวจัดทำโดยหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์ส และโรงเรียนธุรกิจรอสส์ (Ross School of Business) แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน เพื่อประเมินว่าความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจส่งผลต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างไรบ้าง โดยเมื่อปี 2523 นายโรนัลด์ เรแกน จากพรรครีพับลิกัน เคยถามคำถามเดียวกันนี้กับเหล่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่า พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเมื่อ 4 ปีก่อนหรือไม่ ซึ่งเป็นใบเบิกทางไปสู่ชัยชนะอย่างถล่มทลายเหนือประธานาธิบดีสมัยนั้นอย่างนายจิมมี คาร์เตอร์ จากพรรคเดโมแครต
ทั้งนี้ ผลสำรวจในลักษณะเดียวกันซึ่งจัดทำโดยไฟแนนเชียล ไทม์ส เมื่อ 4 ปีก่อนแสดงให้เห็นว่า ชาวสหรัฐส่วนใหญ่ไม่รู้สึกว่าสถานะทางการเงินดีขึ้นภายใต้การบริหารของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ก็ดีกว่าผลสำรวจในตอนนี้ เพราะเมื่อเดือนพ.ย.2562 นั้น มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 35% ที่เชื่อว่า พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นภายใต้การบริหารของนายทรัมป์ ขณะที่ 31% ระบุว่า ชีวิตของพวกเขาย่ำแย่ลง
ผลสำรวจครั้งใหม่แสดงให้เห็นว่า เงินเฟ้อยังคงเป็นอุปสรรคในแคมเปญหาเสียงของประธานาธิบดีไบเดน ที่พยายามโน้มน้าวผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เชื่อในกลยุทธ์ของประธานาธิบดีไบเดนในการฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมของประเทศ และฟื้นฟูค่าจ้างของชนชั้นกลางที่ซบเซามานานหลายปี
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์