Black Friday ทุบสถิติใหม่! คนใช้จ่ายพุ่งแตะ 3.5 แสนล้านบาท
ยอดใช้จ่ายช่วงวันเทศกาลแบล็กฟรายเดย์ในสหรัฐปีนี้โตเกินคาด 7.5% ทำยอดทุบสถิติใหม่ 3.5 แสนล้านบาท รอดูยอดรวมวันสุดท้าย 'ไซเบอร์มันเดย์' อีกวันก่อนปิดฉากเทศกาลช้อปปิ้งใหญ่ในสหรัฐ
ซีเอ็นบีซีรายงานอ้างข้อมูลจากอะโดบี แอนาไลติกส์ว่า ยอดการจับจ่ายซื้อของในวันแบล็กฟรายเดย์ (Black Friday) ที่ผ่านมาเติบโตขึ้น 7.5% เมื่อเทียบปีที่แล้ว ทำสถิติใหม่ที่ 9,800 ล้านดอลลาร์ (เกือบ 3.5 แสนล้านบาท) ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งสัญญาณบ่งชี้ว่าผู้บริโภคในสหรัฐกำลังเลือกใช้จ่ายกับดีลลดราคาและการหาของถูกในการชอปปิ้งออนไลน์
ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้ยังสะท้อนว่า ผู้บริโภคพร้อมที่จะกลับมาชอปปิ้งมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่เงินเฟ้อพุ่งสูงท่ามกลางราคาอาหารและน้ำมันที่แพงขึ้นจนกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอย
วิเวก ปันเดีย หัวหน้านักวิเคราะห์ของอะโดบี แอนาไลติกส์ กล่าวว่า การซื้อแบบไม่ได้วางแผนล่วงหน้ามาก่อน (Impulse buying) อาจเป็นส่วนสำคัญในแบล็กฟรายเดย์ปีนี้ เนื่องจากในยอดขายออนไลน์ทั้งหมดนั้น เป็นส่วนของการซื้อผ่านโมบายล์ชอปปิ้งถึง 5,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.87 แสนล้านบาท) โดยเหล่าอินฟลูเอนเซอร์และการโฆษณาทางโซเชียลมีเดียมีส่วนทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อของผ่านมือถือได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับ "ราคา" เป็นหลักและใช้เงินอย่างรัดกุมขึ้น สืบเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงสุดทุบสถิติเมื่อปีที่แล้วและอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง โดยผลสำรวจของอะโดบีพบว่า ยอดขายราว 79 ล้านดอลลาร์ (ราว 2,800 ล้านบาท) มาจากลูกค้าที่ใช้บริการ "ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง" หรือ Buy Now, Pay Later (BNPL) ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 47%
สินค้ายอดนิยมเทศกาลแบล็กฟรายเดย์ ปีนี้คือ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทวอทช์และทีวี รวมไปถึงของเล่นและเกม แต่สินค้าในกลุ่มอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านขายได้น้อยลง โดยอะโดบีระบุว่าบรรดาร้านที่ติดกลุ่มขายสินค้าได้มากที่สุดนั้น มักจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำโปรลดราคาที่น่าดึงดูดใจ
ทั้งนี้ อะโดบีรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ร้านค้าปลีกในสหรัฐมากถึง 1 ล้านล้านครั้ง ใช้ข้อมูลสินค้า 18 หมวดหมู รวม 100 ล้านชิ้น แต่ไม่ได้เก็บข้อมูลหน้าร้านแบบออฟไลน์
ด้านฝ่ายวิเคราะห์ของบริษัทบัตรเครดิตมาสเตอร์การ์ด ระบุว่า ยอดขายแบบหน้าร้านปีนี้เติบโตขึ้นกว่า 1% เท่านั้นเมื่อเทียบยอดขายแบบออนไลน์ ซึ่งลดลงมากเมื่อเทียบปีก่อนที่โตกว่า 8% สอดคล้องกับที่อะโดบีระบุว่า ภาพจำของวันแบล็กฟรายเดย์ที่จะมีคนไปต่อคิวรอซื้อของลดราคากันตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด ได้เปลี่ยนไปสู่การชอปปิ้งออนไลน์กันมากขึ้นแล้ว เพราะเทียบราคาได้ง่ายกว่าบนหน้าจอทำให้หาดีลที่ถูกที่สุดได้
การชอปปิ้งในเทศกาลแบล็กฟรายเดย์ในปัจจุบันยังเริ่มก่อนหน้านั้น 1 วัน หรือตั้งแต่ วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ซึ่งมีร้านค้าหลายแห่งเริ่มทำการตลาดกันตั้งแต่วันนี้ โดยผลสำรวจของอะโดบีพบว่าวันขอบคุณพระเจ้าปีนี้มียอดขายอยู่ที่ 5,600 ล้านดอลลาร์ (เกือบ 2 แสนล้านบาท)
อะโดบียังคาดการณ์ว่ายอดขายในช่วงเทศกาลที่ต่อเนื่องไปจนถึงวันจันทร์ ไซเบอร์มันเดย์ จะสูงสุดทุบสถิติใหม่ได้เช่นกันในปีนี้ โดยคาดว่ายอดขายวันเสาร์-อาทิตย์ จะเฉลี่ยที่วันละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 3.5 หมื่นล้านบาท) ก่อนจะพุ่งไปแตะ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 4.24 แสนล้านบาท) ในวันจันทร์