ย้อนผลงานประดับไว้ในโลกา ‘เฮนรี คิสซิงเจอร์’

ย้อนผลงานประดับไว้ในโลกา   ‘เฮนรี คิสซิงเจอร์’

เฮนรี คิสซิงเจอร์ นักการทูตผู้ทรงพลังในฐานะที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐภายใต้สองประธานาธิบดี ลาโลกไปอย่างสงบเมื่อวันพุธ (29 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ด้วยวัย 100 ปี แต่ผลงานที่เขาเคยทำถือว่าสะเทือนโลกมีทั้งคนรักและคนชัง

คิสซิงเจอร์ แอสโซซิเอตส์ อิงค์ บริษัทที่ปรึกษาด้านภูมิรัฐศาสตร์ แถลงว่า เฮนรี คิสซิงเจอร์ เสียชีวิตที่บ้านในรัฐคอนเนตทิคัต แถลงการณ์ไม่ระบุสาเหตุการเสียชีวิต กล่าวเพียงว่า พิธีฝังศพจะกระทำเป็นการภายใน แล้วจึงจัดพิธีเปิดให้สาธารณชนรำลึกในนิวยอร์กซิตี้ต่อไป

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า    คิสซิงเจอร์มีบทบาทสำคัญมาโดยตลอดชีวิต 100 ปี ทั้งเข้าประชุมในทำเนียบขาว ออกหนังสือว่าด้วยสไตล์ผู้นำของตนเอง เข้าให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภาเกี่ยวกับภัยคุกคามนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เขาทำเซอร์ไพรส์ไปเยือนกรุงปักกิ่งพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง

ระหว่างทศวรรษ 1970 ท่ามกลางสงครามเย็น คิสซิงเจอร์เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญระดับเปลี่ยนแปลงโลกที่เกิดขึ้นในศตวรรษนี้ ขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติและรัฐมนตรีต่างประเทศของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน จากพรรครีพับลิกัน

ย้อนประวัติเด็กชายชาวยิว

ไฮน์ อัลเฟรด คิสซิงเจอร์ เกิดที่เมืองเฟิร์ธ ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 27 พ.ค.1923 แล้วย้ายไปอยู่สหรัฐกับครอบครัวในปี 1938 ก่อนนาซีรณรงค์กำจัดชาวยิวในยุโรป

 ชื่อ ไฮน์ อัลเฟรด เปลี่ยนเป็นเฮนรี และได้เป็นพลเมืองสหรัฐ  ปี 1943 รับราชการกองทัพบกร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุโรป ได้ทุนเรียนมหาวิทยาฮาร์วาร์ดจบปริญญาโทในปี 1952 และปริญญาเอกในปี 1954 เขาอยู่ที่ฮาร์วาร์ดอีก 17 ปีต่อมา

หลังจากนั้นเวลาส่วนใหญ่ของคิสซิงเจอร์ทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่ง รวมถึงการทำหน้าที่เป็นคนกลางของกระทรวงต่างประเทศในเวียดนาม  ปี 1967 เขาใช้เส้นสายที่มีกับรัฐบาลประธานาธิบดีลินดอน จอห์นสัน ส่งข้อมูลการเจรจาสันติภาพให้กับฝ่ายนิกสัน

เมื่อคำมั่นของนิกสันที่ว่าจะยุติสงครามเวียดนาม ช่วยให้เขาชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 1968 นิกสันดึงคิสซิงเจอร์มาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ แต่กระบวนการ  Vietnamization  ที่สหรัฐถอนทหาร 500,000 นายออกจากสงครามปล่อยให้คนเวียดนามจัดการกันเอง กลับยาวนานและนองเลือด มีการทิ้งระเบิดถล่มและวางกับระเบิดในเวียดนามเหนือ และทิ้งระเบิดกัมพูชาเป็นระยะๆ ย้อนผลงานประดับไว้ในโลกา   ‘เฮนรี คิสซิงเจอร์’ (ประธานาธิบดีเจอรัลด์ ฟอร์ด (ขวา) เนลสัน เอ ร็อกกีเฟลเลอร์ (กลาง) และเฮนรี คิสซิงเจอร์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ หารือสถานการณ์เวียดนามใต้ที่ทำเนียบขาว วันที่ 28 เม.ย.1975)

คิสซิงเจอร์ประกาศในปี 1972 ว่า “สันติภาพอยู่ในมือของเวียดนาม” แต่ข้อตกลงสันติภาพปารีสในเดือน ม.ค.1973 ไม่มีอะไรมากไปกว่าการโหมโรงให้คอมมิวนิสต์ยึดเวียดนามใต้ในสองปีต่อมา

บทบาทรัฐมนตรีต่างประเทศ

ปี 1973 จากบทบาทที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ คิงซิงเจอร์ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ มีอำนาจหน้าที่สูงสุดด้านกิจการต่างประเทศ

ความขัดแย้งอาหรับ-อิสราเอลที่เข้มข้น ทำให้เขาต้องปฏิบัติภารกิจ “กระสวย” เดินสายเจรจาที่โน่นที่นี่อย่างเร่งด่วนเป็นครั้งแรก จนกลายเป็นแบรนด์ประจำตัว การทูตที่มีแรงกดดันสูงนี้สร้างชื่อเสียงให้กับคิสซิงเจอร์เป็นอย่างมาก

32 วันไปๆ มาๆ ระหว่างเยรูซาเล็มกับดามัสกัส ช่วยให้เขาได้ข้อตกลงระหว่างอิสราเอลกับซีเรียเรื่องที่ราบสูงโกลานที่อิสราเอลยึดครองได้

ในความพยายามขจัดอิทธิพลสหภาพโซเวียต คิสซิงเจอร์เข้าหาผู้นำจีน คอมมิวนิสต์คู่แข่งสหภาพโซเวียต และเยือนแดนมังกรสองครั้ง รวมถึงครั้งที่แอบไปพบกับนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล ส่งผลให้เกิดการพบกันครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างนิกสันกับประธานเหมา เจ๋อตงในกรุงปักกิ่ง นำมาสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตของสองประเทศในที่สุด

ย้อนผลงานประดับไว้ในโลกา   ‘เฮนรี คิสซิงเจอร์’

(เหมา เจ๋อตง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน จับมือทักทายเฮนรี คิสซิงเจอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ระหว่างเยือนทำเนียบประธานพรรคในกรุงปักกิ่ง วันที่ 2 ธ.ค.1975 โดยมีประธานาธิบดีเจอรัลด์ ฟอร์ด และซูซาน ธิดา ยืนมองอย่างชื่นชม)

ย้อนผลงานประดับไว้ในโลกา   ‘เฮนรี คิสซิงเจอร์’ (ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน และเฮนรี คิสซิงเจอร์ พบกับนายกรัฐมนตรีโกลดา เมอีร์ของอิสราเอล ณ ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว วันที่ 1 พ.ย.1973)

ข้อตกลงอาวุธเชิงยุทธศาสตร์

คดีฉาววอเตอร์เกตบีบให้นิกสันลาออก แต่แทบไม่ระคายคิสซิงเจอร์ผู้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปกปิดข้อมูล เขายังคงเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศต่อไปเมื่อเจอรัลด์ ฟอร์ดรับตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 1974 แต่ฟอร์ดให้เขานั่งในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อประธานาธิบดีจะได้รับฟังความเห็นด้านนโยบายต่างประเทศจากคนอื่นๆ บ้าง 

ต่อมาในปีนั้นคิสซิงเจอร์ไปวลาดิวอสต็อกกับฟอร์ด ประธานธิบดีสหรัฐได้พบกับลีโอนิด เบรสเนฟ ผู้นำโซเวียต เห็นชอบเค้าโครงพื้นฐานข้อตกลงอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ ฉายภาพความพยายามบุกเบิกลดความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับโซเวียต

กลัวฝ่ายซ้าย-หนุนทหาร

คิสซิงเจอร์เหมือนนิกสันตรงที่กลัวว่า แนวคิดฝ่ายซ้ายจะลุกลามเข้ามาในโลกตะวันตก การรับมือฝ่ายซ้ายของเขาก่อให้เกิดข้อสงสัยจากละตินอเมริกา

ปี 1940 เขาวางแผนกับซีไอเอ หาวิธีบั่นทอนเสถียรภาพและโค่นประธานาธิบดีซัลวาดอร์ อัลเยนเด ของชิลี มาร์กซิสต์ผู้มาจากการเลือกตั้ง หลังการรัฐประหารนองเลือดของอาร์เจนตินาในปี 1976 เขาเขียนบันทึกว่า ควรส่งเสริมผู้นำเผด็จการทหาร

ตอนที่ฟอร์ดแพ้เลือกตั้งจิมมี คาร์เตอร์ จากพรรคเดโมแครตในปี 1976 คิสซิงเจอร์สูญเสียบทบาทในรัฐบาลไปมาก ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันคนต่อมาคือโรนัลด์ เรแกน เอาตัวออกห่างจากคิสซิงเจอร์ด้วยมองว่า เขาไม่เข้ากับประชาชนในเขตเลือกตั้งของเรแกน

หลังพ้นตำแหน่งในรัฐบาล คิสซิงเจอร์ตั้งบริษัทที่ปรึกษาทรงอำนาจในนิวยอร์ก ให้คำปรึกษาบริษัทชื่อดังระดับโลก ทั้งยังนั่งเป็นคณะกรรมการบริหารหลายบริษัท ขึ้นเวทีนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงหลายเวที เขียนหนังสือ ได้รับเชิญจากสื่อมวลชนไปแสดงทัศนะเรื่องกิจการระหว่างประเทศมากมาย

หลังการโจมตีสหรัฐในวันที่ 11 ก.ย.2001 ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เลือกคิสซิงเจอร์เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวน แต่เดโมแครตวิจารณ์ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับลูกค้าบริษัทจำนวนมาก คิสซิงเจอร์จึงลาออก

 ชีวิตส่วนตัว

คิสซิงเจอร์หย่าร้างกับแอนน์ ฟลิซเชอร์ ในปี 1964 จากนั้นสมรสกับแนนซี มาจินส์ ผู้ช่วยเนลสัน ร็อกกีเฟลเลอร์ ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กในปี 1974 มีบุตรสองคนกับภรรยาคนแรก