ผู้หญิงคนแรกของโลกที่รวยทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์ ทายาทอาณาจักร 'ลอรีอัล'
เจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางดัง 'ลอรีอัล' กลายเป็นผู้หญิงคนแรกของโลกที่มีทรัพย์สินสูงกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ ขึ้นสู่มหาเศรษฐีอันดับ 12 ของโลก หลังธุรกิจความงามโตดันหุ้นพุ่งสูงสุดในปีนี้
ฟรองซัวส์ เบตตองกูร์ เมเยอส์ (Francoise Bettencourt Meyers) เคยเป็นข่าวโด่งดังเมื่อปี 2560 เมื่อครั้งที่รับมรดกสืบต่อจาก ลิเลียน เบตตองกูต์ ผู้เป็นแม่และลูกสาวของผู้ก่อตั้งอาณาจักรความงามที่ใหญ่ที่สุดโลกอย่าง "ลอรีอัล"
มรดกในครั้งนั้นมีมูลค่ามากถึงราว 4.25 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.4 ล้านล้านบาท) และเมื่อรวมกับทรัพย์สินส่วนตัวที่มีจึงทำให้ เบตตองกูต์ เมเยอส์ ขึ้นแท่นเป็นผู้หญิงที่รวยที่สุดในโลก
และในวันนี้ เบตตองกูร์ เมเยอส์ วัย 70 ปี กลายเป็นข่าวโด่งดังอีกครั้งในฐานะผู้หญิงคนแรกของโลกที่มีสินทรัพย์มากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 3.43 ล้านล้านบาท) และขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 12 ของโลก แซงหน้าเศรษฐีพันล้านคนดังหลายคน เช่น อาร์มันซิโอ ออร์เตกา แห่งอาณาจักรอินดิเท็กซ์ เจ้าของแบรนด์ Zara
สำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า มูลค่าหุ้นของบริษัทลอรีอัลที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ ส่งผลให้ความมั่งคั่งของ เบตตองกูร์ เมเยอส์ ซึ่งเป็นรองประธานกรรมการของบริษัทลอรีอัล ทะยานขึ้นไปแตะ 1.001 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2566
ขณะที่ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน เม.ย. เบตตองกูร์ เมเยอส์ เคยเป็นข่าวดังอีกครั้งเคียงคู่มากับ "แบร์นาด์ อาร์โนลต์" (Bernard Arnault) แห่งอาณาจักรสินค้าแบรนด์หรู LVMH ในฐานะผู้หญิงและผู้ชายที่รวยที่สุดในโลก และมาจากประเทศฝรั่งเศสทั้งคู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องบ่อยครั้งนักที่อันดับมหาเศรษฐีของโลกจะตกไปเป็นของคนสัญชาติอื่นที่ไม่ใช่อเมริกัน
- หุ้นลอรีอัลพุ่งทุบสถิติสูงสุด
บริษัทลอรีอัลก่อตั้งขึ้นในปี 1909 โดยยูจีน ชูลเลอร์ นักเคมีซึ่งเป็นตาของเบตตองกูร์ เมเยอส์ โดยมีสินค้าดั้งเดิมคือยาย้อมผม และปัจจุบันได้กลายเป็นอาณาจักรความงามที่มีแบรนด์เครื่องสำอางในเครือราว 36 แบรนด์ บริษัทมีมูลค่าถึง 2.68 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 9.2 ล้านล้านบาท) โดยที่ครอบครัวเบตตองกูต์ถือหุ้นใหญ่เกือบ 35% และนั่งเป็นกรรมการบริษัท แต่ในส่วนงานบริหารนั้นได้ใช้ทีมบริหารมืออาชีพเข้ามาดูแลหลายสิบปีแล้ว
ปัจจุบัน อาณาจักรความงามลอรีอัลมีแบรนด์เครื่องสำอางในเครือ อาทิ ลังโคม (Lancôme), คีลส์ (Kiehl's), อีฟแซงต์โลรองต์ (Yves Saint Laurent), ไบโอเธิร์ม (Biotherm), ลาโรชโพเซย์ (La Roche Posay), การ์นิเย (Garnier), และเมย์เบลลีน (Maybelline)
ทั้งนี้ กิจการของลอรีอัลนับว่าเติบโตดีอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีนี้ ก่อนจะสะดุดลงครั้งใหญ่ในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ทำให้เกิดการล็อกดาวน์ทั่วโลก ผู้คนไม่ออกจากบ้าน และทำให้ยอดขายเครื่องสำอางในกลุ่มเมกอัพลดลงอย่างหนัก ก่อนที่สถานการณ์จะฟื้นตัวหลังโควิดคลี่คลาย และยิ่งมีดีมานด์ในกลุ่มเครื่องสำอางหรูเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จนส่งผลให้ราคาหุ้นของลอรีอัลดีดตัวขึ้นแล้วถึง 35% ในปีนี้
เบรท คูเปอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัยคอนซูเมอร์ เอดจ์ รีเสิร์ช กล่าวว่า ราคาหุ้นของลอรีอัลอาจพุ่งขึ้นอีกราว 12% ในปีหน้า เนื่องจากจุดเด่นเรื่องความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และตลาดทั่วโลก
