"ไบเดน" แถลงนโยบายประจำปี พุ่งเป้าโจมตี"ทรัมป์" และ "ปูติน"
"ไบเดน" แถลงนโยบายประจำปี พุ่งเป้าโจมตี"ทรัมป์" และ "ปูติน" พร้อมประกาศลั่นไม่ยอมจำนนต่อการโจมตีประชาธิปไตย
ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ เปิดการปราศรัยแถลงผลงานและนโยบายประจำปีต่อรัฐสภาหรือสเตทออฟเดอะยูเนียน ด้วยการกล่าวโจมตีโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐและนายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย
ประธานาธิบดีไบเดน วัย 81 ปี แถลงเป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่รับตำแหน่งในเดือนม.ค. ปี 2564 โดยได้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่เวลา 21:00 น.วันพฤหัสบดี (7มี.ค.)ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับเวลา 09:00 น.วันนี้ (8มี.ค.)ตามเวลาไทย ด้วยการกล่าวถึงทรัมป์ว่า ประธานาธิบดีรีพับลิกันคนก่อนสนับสนุนให้ปูตินบุกประเทศในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต)ที่ไม่เพิ่มการจ่ายเงินสมทบนาโต ถือเป็นเรื่องอันตรายและไม่สามารถยอมรับได้ พร้อมทั้งส่งสารไปถึงปูตินว่า สหรัฐจะไม่เดินหนีจากยูเครน
ก่อนจะกลับมากล่าวโจมตีทรัมป์อีกครั้งประเด็นกลุ่มสนับสนุนทรัมป์ บุกก่อจลาจลที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.ปี 2564 ไม่ยอมรับชัยชนะของเขาในการเลือกตั้งปี 2563 และโจมตีพรรครีพับลิกันเรื่องหาทางล้มเลิกนโยบายประกันสุขภาพที่เรียกว่าโอบามาแคร์ ทำให้สหรัฐมียอดขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น และหาเงินจากกฎหมายที่เคยคัดค้าน
"ทุกวันนี้เราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เนื่องจากเสรีภาพและประชาธิปไตยของเราถูกโจมตี ทั้งในสหรัฐและต่างประเทศ ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ในต่างประเทศ ประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซียกำลังรุกคืบ โดยรุกรานยูเครนและสร้างความโกลาหลไปทั่วยุโรปและพื้นที่อื่น ๆ หากใครในที่นี้คิดว่าปธน.ปูตินจะหยุดยั้งยูเครนได้ละก็ ผมขอบอกไว้เลยว่า เขาไม่มีทางทำได้สำเร็จ" ปธน.ไบเดน กล่าว
ปธน.ไบเดน ยังแสดงความยินดีต่อสวีเดนที่ได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ในวันพฤหัสบดี (7 มี.ค.) ขณะที่นายกรัฐมนตรีอุล์ฟ คริสเตอช็อน แห่งสวีเดนนั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายของนางจิล ไบเดน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐในการแถลงนโยบายประจำปีครั้งนี้
นอกจากนี้ ปธน.ไบเดน ยังกล่าวปกป้องสิทธิ์เกี่ยวกับการทำแท้งของสตรี พร้อมประกาศว่าเขาจะทำงานเพื่อพลิกฟื้นสิทธิ์การทำแท้งทั่วประเทศหากได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกสมัย พร้อมทั้งชื่นชมผลงานทางเศรษฐกิจของตนเอง โดยระบุว่า "การกลับมาของสหรัฐจะสร้างโอกาสให้กับชาวอเมริกันในอนาคต"