‘ไอเอ็มเอฟ’ ชี้ ปฏิรูปแนวทางสนับสนุนตลาด ช่วย ศก. ‘จีน’ เติบโต 20% ใน 15 ปี
“ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟ” มองปฏิรูปแนวทางการสนับสนุนตลาดแบบครอบคลุมทั้งระบบ ทำให้เศรษฐกิจจีน สามารถเติบโตเร็วกว่าที่เป็นอยู่
นางคริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวในวันอาทิตย์(24 มี.ค.)ว่า การปฏิรูปด้วยแนวทางการสนับสนุนตลาด (pro-market) แบบครอบคลุม จะทำให้เศรษฐกิจจีนสามารถเติบโตได้เร็วกว่าที่เป็นอยู่มาก
"การเติบโตที่เพิ่มขึ้น จะเท่ากับการขยายตัวทางเศรษฐกิจแท้จริง 20%ในอีก 15 ปีข้างหน้า" ผอ.กองทุนการเงินระหว่างประเทศกล่าวในเวทีการพัฒนาจีน โดยระบุว่า ในแง่ปัจจุบันก็เหมือนกับการเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจจีนราว 3.5 ล้านล้านดอลลาร์
จอร์เจียวา ยังเรียกร้องให้ภาคอสังหาริมทรัพย์จีนได้เพิ่มขั้นตอนเพื่อการปรับปรุงธุรกิจให้ยั่งยืน ลดความเสี่ยงด้านหนี้สิน และมุ่งเน้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น
"จำเป็นต้องมีกระบวนการที่เด็ดขาด ในการจัดการปัญหาที่อยู่อาศัยที่ยังสร้างไม่เสร็จ และเพิ่มพื้นที่สำหรับการแก้ไขกลไกตลาดในธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญสามารถเร่งจัดการปัญหาภาคอสังหาฯในปัจจุบัน และเพิ่มความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักลงทุนได้" ผอ.ไอเอ็มเอฟกล่าว
นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียงกล่าวถึงภาคธุรกิจที่อยู่อาศัยเมื่อวันศุกร์ (22 มี.ค.)ว่า จีนจะปรับนโยบายด้านอสังหาริมทรัพย์ให้เหมาะสม โดยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา นายหลี่ได้ประกาศเป้าหมายการเติบโตประจำปี ซึ่งตั้งอยู่ที่ 5% ในปีนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์บางคนมองว่า เป็นการตั้งเป้าหมายไว้สูง
ท่ามกลางสถานการณ์ที่จีนยังต้องพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งจอร์เจียวากล่าวว่า สถานการณ์เช่นนี้อยู่ในความสามารถที่ทำได้โดยการเพิ่มรายได้ เพิ่มอำนาจการใช้จ่ายครัวเรือน และขยายระบบประกันสังคม รวมถึงระบบบำนาญด้วย "แนวทางรับผิดชอบทางการเงิน"
จีนควรสร้างกรอบการทำงานเพื่อการกำกับดูแลด้าน AI ที่แข็งแกร่ง โดยจอร์เจียวาตั้งข้อสังเกตว่า จีนเป็นผู้นำประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในแง่ของการเตรียมพร้อมด้าน AI
เมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรมจีนได้ออกร่างแนวทางปฏิบัติการกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรม AI โดยมีเป้าหมายเพื่อให้มีมาตรฐานอุตสาหกรรมระดับชาติ ภายในปี 2569
"จีนมีศักยภาพมหาศาล ในการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว" จอร์เจียวากล่าว และแนะนำให้จีนขยายระบบการซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ ETS ว่า แม้จีนจะเป็นผู้นำในการใช้พลังงานหมุนเวียน แต่ยังจำเป็นต้องขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่ม เพื่อให้ได้ส่วนแบ่งมากขึ้นตามราคาตลาด ทั้งนี้ก็เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ระบบ ETS ในปัจจุบันครอบคลุมภาคพลังงาน คาดว่า จะรวมภาคอุตสหกรรมใหม่ๆ เช่น ซีเมนต์ และอะลูมิเนียม ภายในปี 2568
ที่มา : CNA