‘เศรษฐกิจจีนโตต่อได้อีก’ สี จิ้นผิงเชื้อเชิญซีอีโอสหรัฐมาลงทุนแดนมังกร
ในความขัดแย้งจีน-สหรัฐที่อาจสุ่มเสี่ยงปะทุเป็นสงครามได้ทุกเมื่อ สี จิ้นผิงจึงเชื้อเชิญเหล่าซีอีโอสหรัฐมาพบปะกันที่กรุงปักกิ่ง หวังกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เมื่อวันวานนี้ (27 มี.ค. 2567) ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้พบปะกลุ่มผู้บริหารธุรกิจชาวอเมริกันที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งมี สตีเฟน ชวาซแมน (Stephen Schwarzman) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของบริษัทจัดการลงทุน Blackstone, คริสเตียโน เอมอน (Cristiano Amon) ซีอีโอบริษัทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ Qualcomm ฯลฯ
โดยจีนต้องการฟื้นความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับสหรัฐ และขอให้นักลงทุนเชื่อมั่นในเศรษฐกิจจีน
ในเวทีพบปะนี้ ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงครึ่ง โดยเหล่านักธุรกิจไถ่ถามสี จิ้นผิง ส่วนผู้นำจีนผู้นี้ก็ตอบคำถามอย่างใกล้ชิด โดยสีเห็นว่า จีนกับสหรัฐไม่จำเป็นต้องแยกห่วงโซ่เศรษฐกิจขาดจากกัน สามารถร่วมมือกันได้
ภาพ: Xinhua
นอกจากนี้ สีเผยว่าตนเข้าใจสภาวะเศรษฐกิจในประเทศ นักลงทุนอย่าได้เป็นกังวล เจ้าหน้าที่ของจีนสามารถจัดการได้ อีกทั้งเศรษฐกิจยังเติบโตต่อเรื่อย ๆ นี่เป็นเนื้อความที่ปธน.ท่านนี้พยายามสื่อสารถึงเหล่านักธุรกิจสหรัฐ
ที่ผ่านมานับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 เศรษฐกิจจีนเผชิญภาวะบริโภคในประเทศหดตัว และเกิดความตึงเครียดกับสหรัฐ รัฐบาลปักกิ่งจึงพยายามเชื้อเชิญนักลงทุนต่างประเทศ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและประคองความสัมพันธ์กับสหรัฐไม่ให้เลวร้ายลง
“จีนกับสหรัฐ ควรมุ่งหาจุดร่วมในประเด็นสำคัญ และเคารพความแตกต่างในประเด็นรอง” สี จิ้นผิงกล่าวในงานพบปะครั้งนี้
สีกล่าวต่อว่า “การปฏิรูปและการเปิดประเทศของจีนจะไม่หยุดยั้ง จีนกำลังวางแผนมาตรการสำคัญเพื่อให้การปฏิรูปมีความครอบคลุมมากขึ้น และสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจชั้นนำ”
ภาพ: Xinhua
สำหรับแขกสำคัญที่ไปร่วมงานในกรุงปักกิ่ง ได้แก่ ราช สุบรามาเนียม (Raj Subramaniam) ซีอีโอบริษัทขนส่ง FedEx, อีวาน จี. กรีนเบิร์ก (Evan Greenberg) ซีอีโอบริษัทประกันภัย Chubb, มาร์ก คาร์นีย์ (Mark Carney) ประธานสำนักข่าว Bloomberg, เคร็ก อัลเลน (Craig Allen) ประธานสภาธุรกิจสหรัฐ-จีน ฯลฯ
จุดไฮไลท์ของงานนี้คือ สี จิ้นผิง ได้กล่าวถึงการหลีกเลี่ยง “กับดักธูสิดีดิส” (Thucydides Trap) ซึ่งธูสิดีดิส เป็นนักประวัติศาสตร์กรีซโบราณที่เขียนถึงสงครามระหว่างนครรัฐสปาตาร์กับเอเธนส์ โดยอธิบายว่า การพุ่งขึ้นมาของเอเธนส์ ได้สร้างความระแวงให้กับสปาตาร์ จนกลาย “สงครามใหญ่” ขึ้นมา ซึ่ง “จีน” กับ “สหรัฐ” สามารถลดความระแวงระหว่างกัน และหันมาร่วมมือกันได้ เพื่อลดความเสี่ยงด้านสงคราม
อ้างอิง: bloomberg