เมียวดี-ชเวโก๊กโก่ เมืองทุนจีนสีเทา? | กันต์ เอี่ยมอินทรา
ชเวโก๊กโก่คือเมืองเล็กๆ ที่อยู่ในบริเวณเมียวดี พื้นที่ที่มีข้อพิพาท แม้รัฐบาลไทยและเมียนมาทราบดีว่าเป็น "เมืองสีเทา" แต่ก็ไม่สามารถปราบปรามได้ เพราะไม่ได้อยู่ในขอบเขตอิทธิพลของรัฐบาลทหารเมียนมา
ความรุนแรงจากการต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาของประชาชนและกองกำลังอิสระต่างๆ รุกคืบขึ้นอีกก้าว หลังจากฝ่ายรัฐบาลทหารเมียนมาสูญเสียพื้นที่เมียวดี
เมื่อประชาชนไม่สามารถอดทนต่อผู้ปกครองที่กดขี่ ออกกฎหมายที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนจนเกินงาม อาทิ การออกกฎหมายเกณฑ์ทหารใหม่ที่บังคับทั้งผู้ชายและหญิงให้เข้ามารับใช้กองทัพนานถึง 2 ปี หรือการทำนาบนหลังคน จากกฎหมายการบังคับหัก 25% จากเงินเดือนแรงงานเมียนมาในต่างแดนเพื่อเข้ามาเป็นรายได้ของรัฐ
ผลเสียของการมีรัฐบาลที่ง่อยเปลี้ยเสียขา ไม่สามารถควบคุมอำนาจอธิปไตยและบริหารอำนาจรัฐได้ ไม่ได้ตกแก่ประชาชนในรัฐนั้นๆ อย่างเดียว แต่ความหายนะยังตกแก่ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “ไทย” ด้วย
ความไร้สามารถในการบังคับใช้กฎหมาย ทำให้เกิดช่องโหว่ในการกระทำใดๆ ที่ละเมิดต่อกฎหมาย กรณีที่ชัดเจนที่สุดที่ไทยได้รับผลกระทบก็คือ การเปิดเมืองให้ทุนต่างชาติจนสุดท้ายกลายเป็นฐานของสแกมเมอร์ที่เข้ามาหากินในประเทศไทย อย่างกรณี “ชเวโก๊กโก่”
ชเวโก๊กโก่ เป็นเมืองใหม่ที่ได้รับเงินจากทุนต่างชาติ เข้ามาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทำเป็นแหล่งกาสิโน ไม่ใช่เพราะทรัพยากรที่เมืองมี หรือกำลังซื้อของคนในเมือง แต่เพราะทำเลที่ตั้งที่อยู่ตรงข้ามแม่สอดของไทยนั่นเอง ชเวโก๊กโก่คือเมืองเล็กๆ ที่อยู่ในบริเวณเมียวดีที่ขณะนี้กำลังมีกรณีพิพาทสู้รบกันอยู่
นอกจากนี้ ชเวโก๊กโก่เป็นเมืองที่ทั้งทางการไทยและเมียนมาต่างทราบดีว่าเป็น “เมืองสีเทา” ที่ใช้เป็นฐานของสแกมเมอร์ เป็นบ้านและฐานที่มั่นอันปลอดภัยของกิจกรรมหลอกลวง ต้มตุ๋น แหล่งฟอกเงิน ยาเสพติด การค้ามนุษย์ แม้รัฐบาลทั้งสองประเทศรับรู้ แต่ก็ไม่สามารถปราบปรามลงได้ เพราะพื้นที่เมียวดีนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอิทธิพลของรัฐบาลทหารเมียนมา เพราะอิทธิพลของกองกำลังท้องถิ่นนี้มีมากกว่า ซึ่งเห็นได้ชัดเจนในกรณีล่าสุดที่ทางการเมียนมาต้องแพ้ราบคาบ จนมาขอใช้สนามบินแม่สอดในไทย
เมืองสีเทานี้ เพิ่งถูกพัฒนาเมื่อปี 2560 โดยนักลงทุนชาวจีน ที่มีหมายเรียก/จับ ทั้งในเมืองจีน และตำรวจสากล ซึ่งมีรายงานระบุว่ามีชาวจีนนับหมื่นคนอาศัยอยู่ในเมืองนี้ ซึ่งฟังแล้วอาจจะคุ้นๆ เพราะพล็อตเรื่องแบบนี้ก็คล้ายกับเมืองสีหนุวิลล์ของกัมพูชาที่ผมเคยเขียนถึง
ผลกระทบจากนโยบาย “จับเสือตีแมลงวัน” ปราบปรามธุรกิจสีเทาและคอร์รัปชันของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนตั้งแต่ปี 2557 ส่งผลหลายประการทั้งในและต่างประเทศ และอดคิดไม่ได้ว่า มันมีจุดเชื่อมโยงกันไหมกับ การพัฒนาของเมืองต่างๆ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังจากนั้นไม่นาน โดยเฉพาะเมียนมาและกัมพูชา ที่เริ่มแรกอ้างเข้ามาพัฒนากาสิโนนั้น สุดท้ายกลายเป็นแหล่งซ่อมสุมของอาชญากรรมข้ามประเทศ
เมืองสีเทาเหล่านี้ อาศัยสัมปทานจากภาครัฐที่มอบอิสระการดูแลเมืองให้กับกลุ่มทุน เช่นกรณีของสีหนุวิลล์ หรืออาศัยช่องว่างการบังคับใช้กฎหมายที่เข้าไม่ถึงและทำดีลกับเจ้าอิทธิพลท้องถิ่นอย่างกรณีชเวโก๊กโก่ เข้าหาผลประโยชน์กับพลเมืองในประเทศ และเพื่อนบ้านอย่างไทย ออกอาละวาดต้มตุ๋นข้ามประเทศ โดยไร้ซึ่งการควบคุมปราบปรามจากรัฐที่ล้มเหลว หรือเกี้ยเซี้ยกันไว้ก่อนหน้าแล้วหรือไม่?
ยังไม่ต้องพูดถึงการปล่อยปละละเลยหรือแม้กระทั่งเข้าไปพัวพันกับแก๊งเหล่านี้ของผู้มีอำนาจของไทย อย่างตำรวจและนักการเมือง ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือ ผลกระทบโดยตรงที่คนไทยต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย และการแก้ปัญหาก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นแต่อย่างใด เอวังด้วยประการฉะนี้