IMF เพิ่มคาดการณ์การเติบโต GDP โลกปี 67 เป็น 3.2%
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2567 เป็น 3.2% เพิ่มจากระดับ 3.1% ที่คาดการณ์ไว้ในเดือนม.ค. ตามรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (WEO) ฉบับล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (16 เม.ย.)
นายปิแอร์-โอลิวิเยร์ กูแรงชาส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟและผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย กล่าวในการแถลงข่าวระหว่างการประชุมฤดูใบไม้ผลิประจำปี 2567 ของไอเอ็มเอฟ และธนาคารโลกว่า แม้จะมีการคาดการณ์ที่เลวร้าย เศรษฐกิจโลกก็ยังคงมีความเข้มแข็งอย่างน่าทึ่ง โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงเร็วเกือบเท่ากับที่เพิ่มขึ้น "ตัวชี้วัดส่วนใหญ่ยังคงชี้ไปที่การชะลอตัวแบบไม่รุนแรง (Soft landing)"
นายกูแรงชาส์ กล่าวว่า แม้จะมีแผลเป็นทางเศรษฐกิจน้อยลงจากวิกฤตต่าง ๆ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่ไอเอ็มเอฟประเมินว่า ประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่ำจะมีแผลเป็นมากขึ้น โดยหลายประเทศในกลุ่มนี้ยังคงดิ้นรนเพื่อฟื้นตัวจากโควิด-19 และวิกฤตค่าครองชีพ
แม้จะมีพัฒนาการที่น่ายินดีเหล่านี้ แต่นายกูแรงชาส์ก็ตั้งข้อสังเกตว่ายังคงมีอุปสรรคอีกมากมาย และจำเป็นต้องมีการดำเนินการที่เด็ดขาด
สำนักข่าวซินหัวระบุว่า รายงาน WEO แสดงให้เห็นว่าประมาณการล่าสุดสำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในอีก 5 ปีข้างหน้าที่ 3.1% นั้น ถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ
ไอเอ็มเอฟ ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปทั่วโลกคาดว่าจะลดลงจากค่าเฉลี่ยทั้งปีที่ 6.8% ในปี 2566 เป็น 5.9% ในปี 2567 และ 4.5% ในปี 2568 โดยประเทศเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วจะกลับสู่เป้าหมายเงินเฟ้อได้เร็วกว่าประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา
นายกูแรงชาส์ ชี้ให้เห็นว่า ที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และเงินเฟ้อในภาคบริการยังคงอยู่ในระดับสูง
รายงานชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านลบหลายประการ อาทิ ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งอันเนื่องมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงวิกฤตการณ์ในยูเครนและความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-กาซา ควบคู่ไปกับเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังคงอยู่ในระดับสูงในตลาดแรงงานที่ยังคงตึงตัว อาจทำให้เกิดความคาดหมายว่าอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นและราคาสินทรัพย์ลดลง
รายงานระบุว่า การลดเงินเฟ้อที่เร็ว-ช้าต่างกันในหมู่ประเทศเศรษฐกิจหลักอาจส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของสกุลเงิน ซึ่งทำให้ภาคการเงินตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน
รายงานกล่าวเสริมว่า อัตราดอกเบี้ยสูงอาจส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการปรับอัตราดอกเบี้ยใหม่ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยประเภทอัตราดอกเบี้ยคงที่และครัวเรือนต้องเผชิญกับภาระหนี้สินที่สูง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเครียดทางการเงิน