องค์การนิรโทษกรรมสากล ชี้สงครามในกาซา-ยูเครน เสี่ยงทำระเบียบโลกพังทลาย

องค์การนิรโทษกรรมสากล ชี้สงครามในกาซา-ยูเครน เสี่ยงทำระเบียบโลกพังทลาย

องค์การนิรโทษกรรมสากล เผยรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนประจำปี บ่งชี้ว่า ระเบียบโลกเสี่ยงพังทลาย ตำหนิมหาอำนาจบางชาติเพิกเฉย และใช้สองมาตรฐานต่อปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในสงครามยูเครนและฉนวนกาซา

 "แอกเนส คัลลามาร์ด" เลขาธิการแอมเนสตี อินเตอร์แนชันแนล หรือ องค์การนิรโทษกรรมสากล เผยแพร่รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลกประจำปีในวันพุธ (24 เม.ย.) ซึ่งเธอเขียนในคำนำของรายงานว่า สงครามในฉนวนกาซาที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ปี 2566 ดำดิ่งสู่นรก ที่บทเรียนทั้งทางศีลธรรมและกฎหมายถูกฉีกเป็นล้านชิ้น

คัลลามาร์ด กล่าวระหว่างแถลงข่าวว่า มีการละเมิดระเบียบโลกในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาหรือมากกว่านั้น เห็นได้จากสงครามในฉนวนกาซาช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา อิสราเอลละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้ง แต่ชาติพันธมิตรไม่หยุดยั้งการนองเลือดที่เกิดขึ้นกับพลเรือนในฉนวนกาซา ทั้งที่ประเทศเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้วางระบบกฎหมายระหว่างประเทศยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

นอกจากนี้ คัลลามาร์ดยังบอกด้วยว่า ยังมีการสู้รบและการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางในอีกหลายประเทศ รวมถึง ซูดาน เอธิโอเปีย และเมียนมา บ่งชี้ว่า ระเบียบโลกเสี่ยงพังทลายย่อยยับ  

รายงานระบุชัดว่า สหรัฐล้มเหลวที่จะประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในฉนวนกาซาที่กระทำโดยอิสราเอล และยังใช้อำนาจวีโต้ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อขัดขวางมติเรียกร้องการหยุดยิงในฉนวนกาซา ส่วนรัสเซียยังคงเดินหน้าทำสงครามในยูเครน ขณะที่จีนสนับสนุนด้านอาวุธแก่กองทัพในเมียนมา ทั้งสามประเทศถูกตำหนิว่า ไม่คำนึงถึงข้อบังคับระหว่างประเทศที่กำหนดในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนฉบับปี 2491
นอกจากนี้ รายงานยังตำหนิบางประเทศ รวมถึง สหราชอาณาจักรและเยอรมนีว่า ใช้สองมาตรฐาน จากการสนับสนุนอิสราเอลและสหรัฐฯ เรื่องการทำสงครามในฉนวนกาซา แต่ประณามอาชญากรรมสงครามที่รัสเซียก่อขึ้นในยูเครน 

รายงานที่ประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนใน 155 ประเทศและดินแดน ยังระบุถึงการละเมิดสิทธิสตรี และความไม่เท่าเทียมทางเพศที่เพิ่มมากขึ้นในปี 2566 ด้วย โดยอ้างถึง การปราบปรามอย่างรุนแรงต่อการประท้วงของผู้หญิงในอิหร่าน คำสั่งของรัฐบาลตาลีบันที่จำกัดสิทธิของผู้หญิงในอัฟกานิสถาน และข้อจำกัดทางกฎหมายเรื่องการทำแท้งในสหรัฐฯ และโปแลนด์ เป็นต้น

ขณะเดียวกัน แอมเนสตี อินเตอร์แนชันแนล ยังเตือนภัยคุกคามของการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีระบบตรวจสอบว่า การพัฒนาอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ และเครื่องมือสอดแนมอาจถูกใช้ในการสู้รบ รุกล้ำสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ และสร้างความแตกแยกในปีการเลือกตั้งสำคัญ เทคโนโลยีที่ยังไร้ข้อบังคับควบคุม อาจถูกใช้เป็นอาวุธในการเลือกปฏิบัติ, บิดเบือนข้อมูล และสร้างความแตกแยก