หน้าฉากคว่ำบาตร แต่หลังฉาก 7 แบงก์ใหญ่ยุโรป ‘จ่ายภาษีให้รัสเซีย’ เพิ่ม 4 เท่า
“โลกตะวันตก” กำลังสนับสนุน “รัสเซีย” ทางอ้อมหรือไม่ เมื่อ “7 แบงก์ใหญ่ยุโรป” ทำกำไรจากรัสเซียได้มากกว่าช่วงก่อนสงครามถึง 3 เท่า จนสร้างรายได้ทางภาษีให้รัฐบาลหมีขาวสูงถึง 31,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าช่วงก่อนสงครามถึง 4 เท่า
KEY
POINTS
- 7 แบงก์ใหญ่ยุโรปทำกำไรจากรัสเซียรวมกันราว 1.1 แสนล้านบาทในปี 2566 ซึ่งมากกว่าปี 2564 หรือช่วงก่อนสงครามรัสเซีย-ยูเครนถึง 3 เท่า
- กำไรที่เพิ่มขึ้น 3 เท่านี้ นำมาซึ่งรายได้ทางภาษีให้รัฐบาลเครมลินแห่งรัสเซียสูงถึง 31,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าช่วงก่อนสงครามถึง 4 เท่า
- ธนาคารสหรัฐ Citigroup และ JPMorgan ก็สร้างรายได้ทางภาษีให้แดนหมีขาวด้วย โดย Citigroup จ่ายภาษี 53 ล้านดอลลาร์ ส่วน JPMorgan จ่ายภาษีให้รัสเซีย 6.8 ล้านดอลลาร์
ใน “ฉากหน้า” ที่สหภาพยุโรป (EU) ประกาศกร้าวว่า ไม่คบค้าสมาคมกับรัสเซีย ทั้งดำเนินนโยบายคว่ำบาตรประเทศนี้อย่างหนัก เพื่อตอบโต้การบุกยูเครน
แต่ล่าสุด หนังสือพิมพ์ Financial Times ได้รายงาน “สิ่งที่ย้อนแย้ง” ขึ้นว่า “7 แบงก์ใหญ่ยุโรป” อันได้แก่ ธนาคาร Deutsche Bank, Raiffeisen Bank International, UniCredit, ING, Commerzbank, Intesa Sanpaolo และ OTP ยังคงประกอบธุรกิจในรัสเซีย อีกทั้ง 7 แบงก์นี้ได้ทำกำไรจากรัสเซียรวมกันมากกว่า 3,000 ล้านยูโรหรือราว 1.1 แสนล้านบาทในปี 2566 ซึ่งมากกว่าปี 2564 หรือช่วงก่อนสงครามรัสเซีย-ยูเครน 3 เท่า
ด้วยกำไรที่เพิ่มขึ้น 3 เท่านี้ จึงนำมาซึ่งรายได้ทางภาษีให้รัฐบาลเครมลินแห่งรัสเซียสูงถึง 800 ล้านยูโร หรือราว 31,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าช่วงก่อนสงคราม 4 เท่า
- เทียบกำไรและภาษีที่แบงก์ยุโรปจ่ายให้รัสเซียระหว่างปี 2566 กับช่วงก่อนสงคราม (เครดิต: Financial Times) -
สำหรับภาษีที่เหล่าธนาคารยุโรปจ่ายให้รัฐบาลรัสเซีย คิดเป็น 0.4% ของรายได้งบประมาณที่ไม่ใช่ส่วนน้ำมันสำหรับปี 2567 และนี่ช่วยให้รัสเซียสามารถหล่อเลี้ยงสงครามยืดเยื้อในยูเครนต่อไปได้
ไม่เพียงเหล่าธนาคารยุโรป แม้แต่ธนาคารดังของสหรัฐอย่าง Citigroup และ JPMorgan ก็ทำกำไรไม่น้อยจากรัสเซีย จนสร้างรายได้ทางภาษีให้แดนหมีขาวด้วย โดยในปี 2566 Citigroup ทำกำไร 149 ล้านดอลลาร์ และจ่ายภาษีให้รัสเซีย 53 ล้านดอลลาร์ ส่วนธนาคาร JPMorgan ทำกำไร 35 ล้านดอลลาร์ และจ่ายภาษีให้รัสเซีย 6.8 ล้านดอลลาร์
ทำกำไรสูงกว่า “ช่วงก่อนคว่ำบาตรรัสเซีย” 3 เท่า
คำถามว่า ท่ามกลางโลกตะวันตกคว่ำบาตรรัสเซีย แต่ทำไมธนาคารตะวันตกเหล่านี้ถึงทำกำไรจากรัสเซีย “สูงกว่าช่วงก่อนสงครามถึง 3 เท่า” คำตอบมาจาก 2 สาเหตุ ได้แก่
อย่างแรก ธนาคารเหล่านี้ยังคงไม่ถอนตัวออกจากรัสเซีย เช่น ธนาคาร Raiffeisen Bank International แม้เคยประกาศว่า เตรียมลดขนาดและขายสินทรัพย์ในรัสเซียออกไป แต่ในปัจจุบันยังคงมีธุรกิจในประเทศนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ล่าสุด ธนาคารยุโรปดังกล่าวกลับประกาศรับสมัครงานในรัสเซียเพิ่ม ซึ่งสะท้อนความพยายามขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้น
เมื่อธนาคารรัสเซียถูกคว่ำบาตร ห้ามเข้าถึงระบบโอนเงินสากลแบบ SWIFT จึงกลายเป็น “โอกาสงาม” ของเหล่าธนาคารตะวันตกที่ยังคงไม่ถอนออกจากรัสเซีย ซึ่งช่วยให้เหล่าบริษัทรัสเซียทำธุรกรรมการค้ากับบริษัทตะวันตกได้ โดยแลกกับค่าธรรมเนียม อย่างเช่น ธนาคาร Raiffeisen Bank International มีรายได้ค่าคอมมิชชันและค่าธรรมเนียมสุทธิจากลูกค้ารัสเซียเพิ่มขึ้น 3 เท่า จาก 420 ล้านยูโรในปี 2564 เป็น 1,200 ล้านยูโรในปี 2566
ส่วนสาเหตุที่สอง จากกรณีธนาคารกลางรัสเซียขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสูงถึง 16% ในปัจจุบัน ซึ่งมากกว่าช่วงก่อนสงครามเกือบ 2 เท่า เพื่อสกัดไม่ให้เงินทุนไหลออกนอกประเทศ จึงช่วยให้ดอกเบี้ยลอยตัวของสินเชื่อธนาคารเหล่านี้สูงขึ้น นำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
ด้วย 2 ปัจจัยเกื้อหนุนเหล่านี้ จึงช่วยให้เหล่าธนาคารยุโรปในรัสเซียมีกำไรเพิ่มขึ้น 3 เท่า จนสร้างรายได้ทางภาษีให้รัฐบาลเครมลินสูงถึง 31,000 ล้านบาท
เมื่อมองสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่เป็นไปอย่างดุเดือด การคว่ำบาตรธนาคารรัสเซียไม่ให้เข้าถึงระบบ SWIFT ทำให้ชาวรัสเซียต้องหันไปใช้ธนาคารตะวันตกแทน เพื่อทำการค้ากับโลกภายนอก แน่นอนว่า สิ่งนี้นำมาซึ่งเม็ดเงินมหาศาลไหลเข้าธนาคารเหล่านี้ และขณะเดียวกัน กำไรของธนาคารดังกล่าว ก็เป็นแหล่งรายได้ภาษีสำคัญให้รัสเซีย ในการใช้หล่อเลี้ยงเครื่องจักรสงครามในยูเครน
อ้างอิง: ft, Swift