'ท่องเที่ยว-ซอฟต์พาวเวอร์' หนุนสัมพันธ์เพื่อนบ้าน l World Pulse

'ท่องเที่ยว-ซอฟต์พาวเวอร์'  หนุนสัมพันธ์เพื่อนบ้าน l World Pulse

ร่ำๆ อยากพบสื่อตั้งแต่รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศใหม่ๆ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ เพิ่งมีโอกาสในงาน Meet the Press#1 เมื่อสัปดาห์ก่อน ได้แถลงภารกิจด้านการต่างประเทศตามที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน มอบหมาย ภายใต้หัวข้อ “Ignite Thailand, Re-ignite Thai Diplomacy ขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ด้วยการทูตมืออาชีพ” สื่อมวลชนทั้งชาวไทยและต่างประเทศร่วมรับฟังอย่างล้นหลาม

แนวทางการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ยุค รมว.มาริษ ที่ถือเป็นลูกหม้อของกระทรวงแบ่งออกเป็นสามมิติ เริ่มตั้งแต่ฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศไทยและความเชื่อมั่นจากประชาคมโลกกลับคืนมา เมื่อโลกเชื่อมั่นแล้วไทยจึงกลับไปมีบทบาทนำทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกอีกครั้ง ส่วนมิติที่ 3 คือความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ รมว.บอกว่าแม้อยู่ข้อสุดท้ายแต่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก World Pulse สนใจมิตินี้เป็นพิเศษเพราะเพื่อนบ้านมีส่วนอย่างยิ่งกับความมั่นคง การท่องเที่ยว และซอฟต์พาวเวอร์ รัฐมนตรีกล่าวว่า นโยบายต่างประเทศของไทยเน้นส่งเสริมความมั่นคงแนวชายแดน ส่งเสริมการค้า ผลักดันการท่องเที่ยว และแก้ปัญหามลพิษ PM2.5 ข้ามพรมแดน 

เรื่องความมั่นคงทุกสายตามองไปที่เมียนมา สถานการณ์ในเมียนมามีผลอย่างมากต่อความมั่นคงตามแนวชายแดน และไม่ได้แค่ส่งผลกระทบต่อไทยแต่ยังสะเทือนไปทั้งภูมิภาค สิ่งที่ไทยทำไปแล้วคือช่วยแก้ไขปัญหายาเสพติก แก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ ธุรกิจสีเทา ส่วนที่จะทำต่อ 

"เราอยากเป็น key player สร้าง peace dialogue มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อไป แต่สิ่งเหล่านี้เปราะบางต้องค่อยๆ ทำ" รมว.ต่างประเทศยอมรับ 

ในด้านการท่องเที่ยวนโยบายสำคัญจากไอเดียนายกฯ เศรษฐาคือ 6 countries 1 destination โดยมีรถไฟความเร็วสูงเป็นตัวเชื่อม รมว.มาริษกล่าวว่า ไทยมีบทบาทโดดเด่นมากในด้านนี้และอยากแบ่งปันประสบการณ์ ซึ่งการท่องเที่ยวระหว่างเพื่อนบ้านสามารถใช้ซอฟต์พาวเวอร์มาเป็นตัวทำตลาดได้ เพราะเพื่อนบ้านมีค่านิยมร่วมกันถ้าบูรณาการกันได้จะก่อให้เกิดความมั่นคงมากยิ่งขึ้น 

พูดถึงเรื่องเพื่อนบ้านกับซอฟต์พาวเวอร์ World Pulse นึกถึงตอนที่ไปคุยกับดาตุ๊ก โจจี ซามูเอล (H.E. Datuk Jojie Samuel) เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย ในงานเทศกาลอาหารปีนังครั้งที่ 2 เมื่อเดือน พ.ค. ท่านทูตชื่นชมกับแนวคิดของนายกฯ เศรษฐา เรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน และยอมรับว่าไทยมีทรัพยากรมากกว่า ซึ่งมาเลเซียจะใช้ความเชี่ยวชาญจากไทยส่งเสริมการท่องเที่ยวมาเลเซีย ส่วนนโยบาย 6 countries 1 destination มาเลเซียได้ประโยชน์ด้วยแน่นอน  

“แนวคิดริเริ่มของนายกฯ เศรษฐาดีมาก นายกฯ ของผมยินดีซัพพอร์ตเต็มที่” ท่านทูตย้ำในวันนั้น สอดรับกับแนวทางที่ รมว.ต่างประเทศไทยพูดบนเวทีพอดี พูดเหมือนกันแบบต่างกรรมต่างวาระ แสดงว่านโยบายสอดคล้องตรงกัน 

สำหรับประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ที่ รมว.ต่างประเทศไปเยือนอย่างเป็นทางการประเทศแรกเมื่อวันที่ 30 พ.ค. เป็นหนึ่งในนโยบาย 6 countries 1 destination โดยไทยจะเพิ่มการเชื่อมต่อทางรถไฟกับ สปป.ลาวและจีน นอกจากนี้การที่ สปป.ลาวได้ชื่อว่าเป็นแบตเตอรีแห่งเอเชีย ความร่วมมือด้านพลังงานสะอาดจึงเป็นสาขาสำคัญอีกสาขาหนึ่ง 

ส่วนกัมพูชา นายกรัฐมนตรีไปเยือนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 ก.ย.2566 นโยบายของไทยคือส่งเสริมการค้าชายแดน กลับมาเจรจากันเรื่องพื้นที่ทับซ้อน  จะมีการเปิดสถานกงสุลในเสียมเรียบและเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มเติม ร่วมมือกันกำจัดมลพิษ PM2.5 และเชื่อมโยงเครือข่ายโลจิสติกส์ 

นี่เป็นแค่ตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน ยังมีมิตรประเทศอีกกว่า 100 ประเทศที่ไทยมีสัมพันธ์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง ความร่วมมือด้านธุรกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน ทั้งหมดนี้ถ้าเป็นไปด้วยดีย่อม Ignite Thailand ได้ ผลประโยชน์ตกแก่ประชาชนระดับรากหญ้าของทั้งสองประเทศ