ซัพพลายเชน 'ชิปทั่วโลก' ส่อสะเทือน เมื่อ 'ไต้หวัน' เสี่ยงวิกฤติขาดแคลนไฟฟ้า
“ไต้หวัน” ฮับผลิตชิปของโลกเสี่ยงเผชิญ “วิกฤติขาดแคลนไฟฟ้า” โดยเกิดไฟดับเป็นจุด ๆ บ่อยครั้งตลอดทั้งปีที่ผ่านมา อีกทั้งในปี 2565 เคยเผชิญเหตุไฟฟ้าดับมากถึง 313 ครั้ง จนสุ่มเสี่ยงที่ห่วงโซ่อุปทานชิปและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งโลกหยุดชะงัก
KEY
POINTS
- มากกว่า 97% ของพลังงานในไต้หวันอาศัย “การนำเข้า” โดยแหล่งพลังงานหลักมาจาก “ถ่านหิน” และ “ก๊าซธรรมชาติ” ในการผลิตไฟฟ้า
- การใช้แชตบอต AI ChatGPT 1 ครั้งกินพลังงานไฟฟ้า “มากกว่า” Google ถึง 10 เท่า และแนวโน้มการใช้ AI นี้ก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ
- ในปี 2565 ไต้หวันเกิดเหตุไฟฟ้าดับ 313 ครั้ง โดยไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในปีนั้น ส่งผลกระทบกว่า 5 ล้านครัวเรือน อีกทั้งยังเคยเกิดไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในปี 2560 ที่กระทบเกือบ 7 ล้านครัวเรือน
หากเอ่ยถึง “ศูนย์กลางผลิตชิปของโลก” ชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว คงหนีไม่พ้น “ไต้หวัน” ดินแดนที่เปรียบเสมือนอาณาจักรเทคโนโลยีชิป ที่รวบรวมบริษัทชั้นนำไว้มากมาย อย่าง TSMC ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดผลิตชิปอันดับ 1 มากถึง 61.2% ของทั้งโลก มีลูกค้าตั้งแต่ Apple, AMD, Nvidia, Intel, Microsoft, Alphabet ฯลฯ
ไม่เพียงเท่านั้น ไต้หวันยังเป็นที่ตั้งบริษัทเทคฯชั้นนำอื่น ๆ เช่น Foxconn ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของโลก อย่างชิ้นส่วนของ iPhone, Delta Electronics บริษัทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และมีบริษัทลูกที่ชื่อ Delta ในไทย ฯลฯ
แต่ล่าสุด ไต้หวันสุ่มเสี่ยงที่เกิด “วิกฤติขาดแคลนไฟฟ้า” ซึ่งการผลิตชิปในแต่ละครั้ง จำเป็นต้องใช้ปริมาณไฟฟ้าจำนวนมาก โดยเฉพาะการใช้แชตบอต AI ChatGPT 1 ครั้งกินพลังงานไฟฟ้า “มากกว่า” Google ถึง 10 เท่า และแนวโน้มการใช้ AI นี้ก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ
หากวิกฤติดังกล่าวเกิดขึ้น ก็จะทำให้ห่วงโซ่อุตสาหกรรมเทคโนโลยี รวมไปถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ต้องใช้ “ชิป” ขับเคลื่อน รวนทั้งระบบ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาจถึงคราวหยุดชะงัก
เฉิน จงซุน (Chen Jong-Shun) นักวิจัยแห่ง Chung-Hua Institution for Economic Research กล่าวว่า “ตอนนี้เกิดกระแสกังวลเกี่ยวกับภาวะไฟฟ้าดับ และคุณภาพไฟฟ้าที่แย่ลงในไต้หวัน ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินงานของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์”
- ไต้หวัน ฮับแห่งชิปทั่วโลก (เครดิต: Shutterstock) -
ไต้หวันเผชิญไฟฟ้าติด ๆ ดับ ๆ หลายครั้งในปีที่ผ่านมา
ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ไต้หวันเผชิญปัญหา “ไฟฟ้าดับครั้งใหญ่” 3 ครั้ง และยังมี “ไฟฟ้าดับเป็นจุด ๆ” อีกหลายครั้งตลอดทั้งปีที่ผ่านมา โดยช่วงล่าสุด เมื่อเดือนเมษายนที่แล้ว ทางตอนเหนือของไต้หวันเผชิญไฟฟ้าดับหลายครั้งภายในระยะเวลา 3 วัน
สถิติที่น่าตกใจคือ ย้อนไปในปี 2565 เกาะแห่งนี้เกิดเหตุไฟฟ้าดับ 313 ครั้ง โดยไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในปีนั้น ส่งผลกระทบกว่า 5 ล้านครัวเรือน นอกจากนี้ ไต้หวันยังเคยเกิดไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในปี 2560 ที่ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนเกือบ 7 ล้านครัวเรือน
โจเซฟ เว็บสเตอร์ (Joseph Webster) นักวิจัยอาวุโสจากศูนย์พลังงานโลกของ Atlantic Council กล่าวว่า “ไต้หวันกำลังเผชิญกับวิกฤติพลังงาน และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ วิกฤติไฟฟ้า”
เว็บสเตอร์ กล่าวต่อว่า “อุตสาหกรรมไฟฟ้าทั่วโลกต่างประหลาดใจกับอัตราความเร็ว และปริมาณความต้องการไฟฟ้าจากดาต้าเซ็นเตอร์ AI ที่พุ่งขึ้น” เขายังเสริมอีกว่า ปริมาณการใช้ไฟฟ้าในอนาคตของไต้หวันนั้น “มีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก”
97% ของพลังงานในไต้หวันมาจากการนำเข้า
บนเกาะแห่งนี้ มากกว่า 97% ของพลังงานในไต้หวันอาศัย “การนำเข้า” โดยแหล่งพลังงานหลักมาจาก “ถ่านหิน” และ “ก๊าซธรรมชาติ” ในการผลิตไฟฟ้า ดังนั้น การพึ่งพาต่างประเทศที่สูงเช่นนี้ จึงกลายเป็นความเสี่ยงสำคัญ ถ้าหากไต้หวันถูกปิดล้อมหรือเส้นทางพลังงานถูกตัดขาด
ตามข้อมูลจาก Atlantic Council องค์การวิจัยด้านต่างประเทศ เมื่อดูที่การบริโภคพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดในปี 2566 จะพบว่าสัดส่วนกว่า 55% มาจากผู้บริโภคในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเหล่าบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง
ด้วยเหตุนี้ ถ้าไต้หวันจำเป็นต้องปันส่วนพลังงานไฟฟ้าถี่ขึ้น เนื่องจากปริมาณไฟฟ้ามีจำกัด ก็อาจทำให้การผลิตชิปเป็นไปอย่างล่าช้า ไปจนถึงทำให้ราคาเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกแพงขึ้น
รายงานขององค์กรด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง Greenpeace คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมผลิตเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกอาจมีขนาดตลาด “เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า” ภายในปี 2573 และมีแนวโน้มที่จะใช้พลังงานไฟฟ้าสูงถึง 237 เทราวัตต์ชั่วโมง (TWh) ในเวลานั้น และเมื่อถึงตอนนั้น การใช้ไฟฟ้าจากอุตสาหกรรมผลิตชิปของไต้หวันระหว่างปี 2564 ถึง 2573 จะเพิ่มขึ้นถึง 236%
- TSMC ในไต้หวัน ครองส่วนแบ่งตลาดผลิตชิปมากถึง 61.2% ของทั้งโลก (เครดิต: Shutterstock) -
จะเห็นได้ว่า ท่ามกลางความร้อนแรงของวิกฤติพลังงานโลก “ไต้หวัน” เผชิญกับภัยคุกคามร้ายแรงที่อาจสั่นสะเทือนบัลลังก์ผู้นำชิปของโลก นั่นคือ “วิกฤติไฟฟ้า”
หากปราศจากไฟฟ้าแล้ว เปรียบเสมือนขาด “อาหาร” หล่อเลี้ยง โรงงานอุตสาหกรรมแม้จะเต็มไปด้วยชิปสุดล้ำ เทคโนโลยีขั้นสูง ก็ไร้ความหมาย การผลิตต้องหยุดชะงัก จนส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ
นักลงทุนคงต้องจับตาความเสี่ยงนี้อย่างใกล้ชิด เพราะความเสี่ยงวิกฤติไฟฟ้าครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงปัญหาเฉพาะหน้า แต่แฝงนัยสำคัญต่ออนาคตของ “ไต้หวัน” ในฐานะศูนย์กลางด้านชิปของโลก
อ้างอิง: greenpeace, trade, cnbc, mckinsey, bangkok