ไนท์แฟรงค์เผย 'ซาอุฯ' จ่อขึ้นแท่นตลาดอสังหาฯ ใหญ่ที่สุดในโลก

ไนท์แฟรงค์เผย 'ซาอุฯ' จ่อขึ้นแท่นตลาดอสังหาฯ ใหญ่ที่สุดในโลก

'ซาอุฯ' จ่อขึ้นแท่นเบอร์ 1 ตลาดอสังหาฯ ใหญ่ที่สุดในโลก ไนท์แฟรงค์คาดมูลค่าพุ่งแตะ 6.7 ล้านล้านบาทภายใน 4 ปี จากบรรดา 'อภิมหาโปรเจกต์ลงทุน' ภายใต้วิสัยทัศน์ 2030 ของมกุฏราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซิลมาน

บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ไนท์แฟรงค์ (Knight Frank) เปิดเผยรายงานล่าสุดในสัปดาห์นี้ว่า "ซาอุดีอาระเบีย" กำลังจะกลายเป็นตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากที่รัฐบาลริยาดทุ่มเงินลงทุนมหาศาลในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ หลายแห่ง เพื่อมุ่งพลิกโฉมและสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ 

รายงานคาดการณ์ว่า มูลค่าการก่อสร้างทั้งหมดในซาอุฯ จะพุ่งขึ้นไปแตะ 1.815 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 6.7 ล้านล้านบาท) ภายในสิ้นปี 2571 หรือเพิ่มขึ้นถึง 30% จากมูลค่าในปี 2566 
 

ไนท์แฟรงค์เผยว่าการลงทุนส่วนใหญ่ของซาอุฯ เป็นส่วนของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย และบรรดาอภิมหาโปกเจกต์ใหญ่ต่างๆ รวมไปถึงโครงการพัฒนาอื่นๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งภายใต้วิสัยทัศน์ของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฏราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบีย ที่ต้องการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจของประเทศให้ลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมันเป็นหลัก

การจะทำให้ "วิสัยทัศน์ 2030" บรรลุผลสำเร็จนั้น ต้องสามารถรองรับจำนวนประชากรที่ขยายตัวขึ้นและการหลั่งไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ 

"พวกเรากำลังเห็นการเปลี่ยนผ่านครั้งประวัติศาสตร์ที่กำลังเกิดขึ้นในซาอุดีอาระเบีย กับบรรดาโครงการก่อสร้างที่โดดเด่นทั้งในด้านสเกลการดีไซน์และมูลค่า" โมฮัมเหม็ด นาบิล หุ้นส่วนภูมิภาคและหัวหน้าฝ่ายบริการพัฒนาและโครงการภาคพื้นตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือของไนท์แฟรงค์ กล่าว 

ข้อมูลจากฝ่ายวิจัยของไนท์แฟรงค์ยังระบุว่า นับตั้งแต่มีการประกาศวิสัยทัศน์ 2030 ออกมาครั้งแรกเมื่อ 8 ปีก่อน ซาอุฯ ได้เปิดตัวโครงการต่างๆ ไปแล้วมากถึงกว่า 1.25 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 46 ล้านล้านบาท) 

แม้ว่าโครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่จะยังไม่เสร็จหรือยังไม่มีการส่งมอบ และบางโครงการยังถูก "ลดขนาด" ลงจากเดิม ทว่ารัฐบาลริยาดก็ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการผลักดันวิสัยทัศน์ 2030 ท่ามกลางเส้นตายที่กำลังใกล้งวดเข้ามา

เฉพาะปี 2566 ที่ผ่านมาเพียงปีเดียว มีการลงนามสัญญาก่อสร้างไปแล้วถึงกว่า 1.4 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 5.17 ล้านล้านบาท) ส่วนใหญ่นเป็นโครงการในกรุงริยาด ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนประชากรให้ถึง 10 ล้านคน ภายในปี 2030

เมืองหลวงแห่งนี้ยังเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ซาอุฯ เตรียมไว้รองรับการเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรม "เวิลด์ เอ็กซ์โป" ในปี 2030 รวมถึงการตั้งเป้าหมายเป็นเจ้าภาพมหกรรม "เวิลด์คัพ" ในปี 2034 ด้วย  

‘NEOM’ อภิมหาโปรเจกต์เมืองแห่งอนาคต

"นิอุม" (NEOM) เป็นโครงการเมืองใหม่แห่งอนาคตที่ซาอุดีอาระเบียต้องการพลิกโฉม “ทะเลทราย” ให้กลายเป็น “เมืองแห่งอนาคต” และต้องใช้งบประมาณในโครงการนี้กว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 18 ล้านล้านบาท

ไนท์แฟรงค์เผย \'ซาอุฯ\' จ่อขึ้นแท่นตลาดอสังหาฯ ใหญ่ที่สุดในโลก

หนึ่งในโปรเจกต์ย่อยของนิอุมที่หลายคนอาจเคยผ่านตามาแล้วก็คือ โครงการที่ชื่อว่า “The Line” ซึ่งเป็นโครงการเมืองแนวราบทางยาว 170 กิโลเมตร ที่ตัดผ่านพื้นที่แห้งแล้ง โดยรัฐบาลริยาดวาดฝันว่าภายใต้ผนังกระจกสูงของกำแพงเมือง จะเต็มไปด้วยความทันสมัยของโครงการที่อยู่อาศัยแห่งอนาคต รัฐบาลจะสร้าง "เมฆเทียม" พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยที่เปลี่ยนน้ำเค็มให้เป็นน้ำจืด ส่วนในยามดึก จะมี "พระจันทร์เทียม" ดวงโตที่สาดส่องหาดทรายจนสว่างเรืองรอง โดยคาดว่าจะสามารถรองรับพลเมืองได้ถึง 9 ล้านคน

ไนท์แฟรงค์เผย \'ซาอุฯ\' จ่อขึ้นแท่นตลาดอสังหาฯ ใหญ่ที่สุดในโลก

ทว่ารายงานข่าวเมื่อไม่นานมานี้ระบุว่า รัฐบาลซาอุฯ ได้ปรับลดเป้าหมายระยะกลางของโครงการนี้ลง จากเดิมคาดหวังว่าภายในปี 2573 จะมีประชากร 1.5 ล้านคนอาศัยอยู่ ก็ปรับเหลือเพียง 3 แสนคนแทน และความยาวเดิมที่จะสร้างให้ถึง 170 กิโลเมตรตามแนวชายฝั่ง ก็ปรับลงเหลือ 2.4 กิโลเมตรแทน ในขณะที่ทีมโครงการได้ตระเวณเดินสายดึงดูดนักลงทุนในหลายพื้นที่ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงจีนและฮ่องกง

ทั้งนี้ในปี 2566 ซาอุฯ เผชิญการขาดดุลงบประมาณ 80,900 ล้านริยัล เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวลง และรัฐบาลคาดการณ์ว่าซาอุฯ อาจเผชิญภาวะขาดดุลต่อในปี 2567 ที่ 79,000 ล้านริยัล