ฮับผลิต SEA จ่อขึ้นค่าจ้าง สะเทือน ‘ธุรกิจพึ่งแรงงาน’ เผ่นหนี

ฮับผลิต SEA จ่อขึ้นค่าจ้าง สะเทือน ‘ธุรกิจพึ่งแรงงาน’ เผ่นหนี

เมื่อฮับการผลิตที่สำคัญซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายโลก จ่อขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ บรรดาธุรกิจต่างชาติที่หันมาลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่างกังวลว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจพึ่งแรงงานจำนวนมาก

KEY

POINTS

  • การปรับขึ้นค่าแรงอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบต่อข้อได้เปรียบที่สำคัญของเวียดนาม โดยเฉพาะหลายธุรกิจที่พึ่งพาอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น
  • ประเทศไทย และขุมพลังการผลิตอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแผนขึ้นค่าแรงรายวันขั้นต่ำสู่ระดับ 400 บาทต่อวัน โดยจะเริ่มมีผลเดือน ต.ค. เป็นต้นไป
  • การปรับขึ้นค่าแรงที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในกรุงมะนิลาเร็ว ๆ นี้ อาจช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้บริโภคได้บ้าง แต่ไม่ได้ช่วยมากนัก เนื่องจากเงินเปโซอ่อนค่า ทำให้สูญเสียกำลังซื้อ

ศูนย์กลางการผลิตแห่งสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จ่อทยอยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้บริษัทหลายแห่งต้องกลับไปทบทวนกลยุทธ์ธุรกิจใหม่อีกครั้ง ในขณะที่ภูมิภาคกำลังดึงดูดเงินลงทุนได้มากขึ้น และกลายเป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

สำนักข่าวนิกเคอิ เอเชีย รายงานเมื่อวันอังคาร (2 ก.ค.) ว่า ค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเวียดนามเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6% ในเมืองใหญ่ เช่น กรุงฮานอย และนครโฮจิมินห์ ปัจจุบันจึงการันตีได้ว่าแรงงานในเวียดนามจะมีรายได้ 4.96 ล้านดองต่อเดือน หรือราว 7,200 บาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นประมาณ 80% เมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน ขณะที่คาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของเวียดนาม อาจขยายตัว 6.9% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

“เวียดนาม” กลายเป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุด สะท้อนภาคอุตสาหกรรมการผลิตแข็งแกร่ง และสามารถดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศได้จำนวนมาก ซึ่งปัจจัยที่ดึงดูดเงินลงทุนส่วนใหญ่มาจาก “ค่าแรงงานถูก” และประเทศตั้งอยู่ใกล้กับจีน

อย่างไรก็ตาม ค่าแรงขั้นต่ำในเวียดนามที่สูงขึ้น ยังคงต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับตั้งแต่ 200 ดอลลาร์ขึ้นไป หรือราว 7,400 บาท และแม้ค่าแรงขั้นต่ำในเวียดนามยังคงต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำในกรุงปักกิ่งที่ระดับ 2,420 หยวน หรือประมาณ 12,200 บาท แต่การปรับขึ้นค่าแรงอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบต่อข้อได้เปรียบที่สำคัญของเวียดนาม โดยเฉพาะหลายธุรกิจที่พึ่งพาอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น (labor-intensive industry) เช่น อุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วน และอุตสาหกรรมตัดเย็บ

ฮับผลิต SEA จ่อขึ้นค่าจ้าง สะเทือน ‘ธุรกิจพึ่งแรงงาน’ เผ่นหนี

อากิระ มิยาโมโตะ” ผู้อำนวยการทั่วไปของซูเฟ็กซ์ เทรดดิง (Sufex Trading) บริษัทที่ปรึกษาในเวียดนามที่ช่วยเหลือบริษัทญี่ปุ่นหาพื้นที่ทำธุรกิจ บอกว่า ความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับต้นทุนค่าแรงสูงทำให้หลายบริษัทเตรียมพิจารณาขยายธุรกิจออกไปนอกเขตเมืองใหญ่

เวียดนามกำหนดค่าแรงขั้นต่ำใน 4 ภูมิภาค และค่าแรงในพื้นที่เมืองใหญ่มีมูลค่ามากกว่าค่าแรงในภูมิภาคที่พัฒนาน้อยกว่าอยู่ 40% อย่างไรก็ตาม มิยาโมโตะย้ำว่า ค่าแรงไม่ใช่ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่ราคาที่ดินด้านอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้นมากเช่นกัน โดยเฉพาะพื้นที่รอบ ๆ โฮจิมินห์

ขณะที่ประเทศไทย และขุมพลังการผลิตอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแผนขึ้นค่าแรงรายวันขั้นต่ำสู่ระดับ 400 บาทต่อวัน โดยจะเริ่มมีผลเดือน ต.ค. เป็นต้นไป ซึ่งมีอัตราเพิ่มขึ้นราว 14% จากระดับค่าแรง 300-350 บาทต่อวัน นั่นหมายความว่า แรงงานจะมีค่าจ้างขั้นต่ำต่อเดือนประมาณ 237 ดอลลาร์ หรือราว 8,700 บาท ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากอุตสาหกรรมที่มีอิทธิพล

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์” รองประธานกรรมการหอการค้าไทยแถลงการณ์คัดค้านนโยบายดังกล่าวเมื่อเดือน พ.ค.ว่า “นโยบายผลักดันค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวันทั่วประเทศ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง” เนื่องจากดร.พจน์ เชื่อว่าค่าแรงขั้นต่ำระดับใหม่จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรม

ฮับผลิต SEA จ่อขึ้นค่าจ้าง สะเทือน ‘ธุรกิจพึ่งแรงงาน’ เผ่นหนี

ประเทศฟิลิปปินส์ ประกาศเมื่อวันจันทร์ (1 ก.ค.) ว่า จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในพื้นที่เมืองหลวงมะนิลา สู่ระดับ 645 เปโซต่อวัน หรือราว 404 บาทต่อวัน หรือประมาณ 8,900 บาทต่อเดือน โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค. เป็นต้นไป และก่อนหน้านี้ในปี 2566 รัฐบาลฟิลิปปินส์ ได้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรายวันเล็กน้อยเพื่อรับมือกับปัญหาเงินเฟ้อ

การปรับขึ้นค่าแรงที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในกรุงมะนิลาเร็ว ๆ นี้ อาจช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้บริโภคได้บ้าง แต่ไม่ได้ช่วยมากนัก เนื่องจากเงินเปโซอ่อนค่า ทำให้สูญเสียกำลังซื้อ

“ซันนี แอฟริกา” กรรมการบริหารมูลนิธิไม่แสวงผลกำไร IBON เผยว่า “ในอดีตค่าจ้างปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยเสมอ และขึ้นอยู่กับว่านายจ้างยินดีจ่ายเท่าไร และไม่ได้อ้างอิงจากความต้องการของลูกจ้าง”

แม้คำนึงถึงความสามารถในการจ่ายค่าจ้างของนายจ้าง แต่ธุรกิจท้องถิ่นฟิลิปปินส์ยังคงกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าจ้างอยู่ดี

หอการค้าและอุตสาหกรรมฟิลิปปินส์ หนึ่งในกลุ่มธุรกิจภายในประเทศที่ใหญ่ที่สุด ออกมาแถลงเมื่อเดือน ก.พ. ว่า การขึ้นค่าจ้างอาจทำให้นักลงทุนถอดใจ

“ไม่มีใครอยากไปหาฟิลิปปินส์ เมื่อพวกเขาเห็นว่าผู้บัญญัติกฎหมายสามารถออกกฎหมายขึ้นค่าจ้างเมื่อใดก็ได้ และมองข้ามเจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการค่าจ้างแห่งชาติ" แถลงการณ์ ระบุ

สำหรับค่าจ้างขั้นต่ำในมาเลเซีย อาจยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในปีนี้ ซึ่งล่าสุดประเทศปรับนโยบายค่าแรงขั้นต่ำไปเมื่อปี 2556 และทำให้ค่าครองชีพปรับเปลี่ยนไปนับแต่นั้น ต่อมาในปี 2565 ค่าจ้างขั้นต่ำทั่วมาเลเซียเพิ่มสู่ระดับ 1,500 ริงกิตต่อเดือน (ราว 11,700 บาท)

ในปีนี้ รัฐบาลมาเลเซียได้นำเสนอโครงการค่าแรงใหม่ เรียกว่า นโยบายค่าจ้างแบบก้าวหน้า (Progressive Wage Policy) เพื่อส่งเสริมให้นายจ้างในอุตสาหกรรมเฉพาะ ปรับขึ้นค่าแรง โดยเฉพาะแรงงานที่มีรายได้ต่ำ 

นอกจากนี้นโยบายดังกล่าวยังมีองค์ประกอบที่สำคัญอื่น ๆ อาทิ ประเด็นการเติบโตของค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น ที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาทักษะที่สูงขึ้นและประสิทธิผลในการทำงานดีขึ้น กรอบค่าจ้างรายอุตสาหกรรม และมาตรการการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไข 

ปัจจุบันนโยบายค่าจ้างแบบก้าวหน้าเตรียมเป็นนโยบายที่นำไปใช้ได้ตามความสมัครใจของนายจ้าง

อ้างอิง: Nikkei Asia