ทำไม ‘สตาร์ตอัป AI จีน’ ทิ้งแผ่นดินแม่ ย้ายไปอยู่ที่ ‘สิงคโปร์’ แทน

ทำไม ‘สตาร์ตอัป AI จีน’ ทิ้งแผ่นดินแม่ ย้ายไปอยู่ที่ ‘สิงคโปร์’ แทน

เมื่อศึกการค้าจีนกับสหรัฐระเบิดขึ้น ‘สตาร์ตอัป AI จีน’ จำนวนไม่น้อย ได้อพยพไปยัง ‘สิงคโปร์’ แทน ซึ่งช่วยให้เข้าถึงชิปล้ำสมัยได้ง่ายขึ้น ประชากรเป็นเชื้อสายจีนเป็นส่วนใหญ่ และมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการระดมทุน

KEY

POINTS

  • สตาร์ตอัปจีนสามารถซื้อชิปประสิทธิภาพรุ่นล่าสุดจากบริษัทชิป Nvidia ได้ในสิงคโปร์ โดยสิ่งนี้แทบเป็นไปไม่ได้ในแดนมังกร เนื่องจากสหรัฐ และพันธมิตรกีดกันจีนไม่ให้เข้าถึงชิปสุดล้ำ
  • สิงคโปร์มีประชากรเชื้อสายจีนเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้การสื่อสารและความเข้าใจทางวัฒนธรรมธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น
  • การตั้งฐานธุรกิจที่สิงคโปร์ เป็นการทำให้บริษัทดูเหมือนว่าดำเนินงานหลักจากสิงคโปร์ ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลปักกิ่ง เพื่อลดการตกเป็นเป้าสายตาจากสหรัฐ

เมื่อความตึงเครียดระหว่าง “จีน” กับ “สหรัฐ” ถูกยกระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ สหรัฐที่ถือไพ่เทคโนโลยีเหนือกว่าได้พยายามล็อบบี้ประเทศพันธมิตร ไม่ให้ส่งออกชิปสุดล้ำสมัยไปยังจีน รวมทั้งสงครามการค้าก็ปะทุขึ้นอีก ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ เงินทุนต่างประเทศได้ไหลออกจากจีนจำนวนมาก บริษัทเทคฯ จีนต่างขาดแคลนชิปสำคัญในการพัฒนาต่อ และการระดมทุนก็เป็นไปอย่างยากลำบาก

ด้วยเหตุนี้ เหล่าสตาร์ตอัปด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) สัญชาติจีน จึงตัดสินใจย้ายบริษัทตัวเองไปยัง “สิงคโปร์” แทน ดินแดนที่ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับสหรัฐ และมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการระดมทุนง่าย อีกทั้งไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบจีนที่เข้มงวดด้านเนื้อหา AI ด้วย

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ตัวอย่างสตาร์ตอัป AI จีนที่ย้ายไปอยู่สิงคโปร์แทน คือ “Tabcut” ก่อตั้งโดย หวู่ ชุนซง (Wu Cunsong) และเฉิน ปิงฮุ่ย (Chen Binghui) ที่นครหางโจวเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่เนื่องจากขาดแคลนเงินทุน ทั้งสองคนจึงตัดสินใจย้ายไปยัง “สิงคโปร์” แทน ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 4,000 กิโลเมตรทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

ทำไม ‘สตาร์ตอัป AI จีน’ ทิ้งแผ่นดินแม่ ย้ายไปอยู่ที่ ‘สิงคโปร์’ แทน

- ประเทศสิงคโปร์ (เครดิต: Shutterstock) -

ประเทศที่เอื้อต่อธุรกิจแห่งนี้ ช่วยให้หวู่ และเฉินสามารถเข้าถึงนักลงทุน และลูกค้าทั่วโลกได้ง่ายขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทสหรัฐ และบริษัทต่างชาติจำนวนมากต่างหันหลังให้กับจีน

สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือ พวกเขาสามารถซื้อชิปประสิทธิภาพรุ่นล่าสุดจากบริษัทชิป Nvidia ได้ในสิงคโปร์ โดยสิ่งนี้แทบเป็นไปไม่ได้ในแดนมังกร เนื่องจากสหรัฐ และพันธมิตรกีดกันจีนไม่ให้เข้าถึงชิปสุดล้ำ

ทำไม ‘สตาร์ตอัป AI จีน’ ทิ้งแผ่นดินแม่ ย้ายไปอยู่ที่ ‘สิงคโปร์’ แทน - ชิป NVIDIA Blackwell สุดล้ำสำหรับฝึก AI (เครดิต: Nvidia) -

“เราอยากไปยังสถานที่ ที่อุดมไปด้วยเงินทุน มากกว่าสถานที่ ที่เงินทุนร่อยหรอลงอย่างรวดเร็ว” หวู่กล่าว

เจียนเฟิง ลู่ (Jianfeng Lu) เจ้าของสตาร์ตอัปด้าน AI ที่ชื่อว่า “Wiz Holdings Pte.” เป็นอีกคนที่ย้ายจากเมืองหนานจิงทางตะวันออกของจีนไปตั้งบริษัทในสิงคโปร์ ด้วยทุนสนับสนุนจาก Tiger Global, GGV Capital และ Hillhouse Capital

นอกจากนี้ “Climind” บริษัทสตาร์ตอัปจีนของเฉียน อี้หมิง (Qian Yiming) ที่พัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่และเครื่องมือ AI ก็เตรียมย้ายสำนักงานจากฮ่องกงไปยังสิงคโปร์ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งบริษัทนี้ก่อตั้งเมื่อปีที่แล้ว และมีทีมงานขนาดเล็กเพียง 10 คน

จุดเด่นอีกประการของประเทศนี้คือ สิงคโปร์มีประชากรเชื้อสายจีนเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้การสื่อสาร และความเข้าใจทางวัฒนธรรมธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น

หลบการถูกเพ่งเล็งจากสหรัฐ

การเป็นบริษัทสัญชาติจีนหรือตั้งอยู่ในจีน ทำให้ง่ายต่อการถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลสหรัฐ และเสี่ยงที่จะเผชิญมาตรการกีดกันต่างๆ จากโลกตะวันตก ดังที่เห็นจากกรณีรถยนต์ไฟฟ้า BYD ของจีนเผชิญกำแพงภาษีที่สูงลิ่วจากสหรัฐ และยุโรป

ดังนั้น การตั้งฐานที่สิงคโปร์ จึงเป็นการทำให้บริษัทดูเหมือนว่ามีฐานหรือดำเนินงานหลักจากสิงคโปร์  ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลปักกิ่ง เพื่อลดการตกเป็นเป้าสายตาของประเทศฝ่ายตรงข้ามกับจีน เช่น สหรัฐ

 

 

 

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ไม่ได้ผลเสมอไป บริษัท “ByteDance” ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงปักกิ่ง ย้ายสำนักงานใหญ่สำหรับธุรกิจ TikTok ไปยังสิงคโปร์แทน แต่บริการคลิปสั้นอันโด่งดังนี้ก็ยังถูกสภาสหรัฐบีบให้ขายกิจการหรือถูกแบนในอเมริกาแทน เช่นเดียวกับ “Shein” ยักษ์ใหญ่ด้านแฟชั่นของจีน ซึ่งย้ายฐานไปยังสิงคโปร์ด้วยเหมือนกัน ก็ต้องเผชิญการกีดกันอย่างหนักในสหรัฐ และตอนนี้มุ่งมั่นที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ในลอนดอนแทน

ไม่ต้องถูกรัฐบาลจีนคุมเข้มเนื้อหา

ในประเทศจีน นอกจากมีเทคโนโลยีสุดล้ำสมัยมากมาย ยังมีแนวทางควบคุมเนื้อหาที่สร้างด้วย AI อย่างเข้มงวดเช่นกัน โดยรัฐบาลพยายามทำให้เนื้อหาเหล่านั้นสอดคล้องกับนโยบาย และอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อเดือนกรกฎาคมในปีที่แล้ว รัฐบาลจีนได้ขอให้บริษัทต่างๆ ลงทะเบียนอัลกอริทึมของตนกับรัฐบาล ก่อนจะเปิดให้บริการแก่ผู้บริโภค

นั่นหมายความว่า “นักพัฒนา AI จะไม่สามารถดำเนินการพัฒนาอย่างอิสระได้ หากพวกเขาอยู่ในประเทศจีน” อดัม (Adam) ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ Linkloud กล่าว โดยเขายินดีเปิดเผยเฉพาะชื่อแรกของเขาเท่านั้น เนื่องจากความอ่อนไหวของประเด็นนี้ อดัมประเมินว่า 70-80% ของบริษัทซอฟต์แวร์ และสตาร์ตอัป AI ของจีน มุ่งเป้าไปที่ลูกค้าทั่วโลก โดยหลายบริษัทเลือกที่จะข้ามตลาดจีนไปก่อน โดยในตอนนี้ Linkloud กำลังสร้างชุมชนด้าน AI สำหรับผู้ประกอบการชาวจีนที่ต้องการขยายตลาดไปทั่วโลก

ในทางกลับกัน กฎระเบียบด้านปัญญาประดิษฐ์ของสิงคโปร์นั้นไม่เข้มงวดนัก และขึ้นชื่อในเรื่องความง่ายในการจัดตั้งบริษัท เพราะต้องการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้ประกอบการเอเชียกับทั่วโลก โดยชาน อี้ หมิง (Chan Ih-Ming) รองประธานกรรมการบริหารของ Singapore Economic Development Board กล่าวว่า “บริษัทสตาร์ตอัปจีนหลายราย เลือกสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมองว่าสิงคโปร์เป็นจุดสปริงบอร์ดไปสู่ตลาดโลก โดยเมืองแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของบริษัทสตาร์ตอัปด้านปัญญาประดิษฐ์กว่า 1,100 แห่ง ณ สิ้นปี 2566 แม้ว่าสิงคโปร์จะไม่เปิดเผยข้อมูลตามประเทศ แต่มีหลักฐานยืนยันว่าบริษัท AI ที่มีฐานอยู่ในจีนกำลังทยอยเข้ามาตั้งบริษัท”

จะเห็นได้ว่า ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐ “สิงคโปร์” จึงกลายมาเป็นจุดหมายปลายทางใหม่สำหรับสตาร์ตอัป AI จีน เพราะเป็นดินแดนที่ไม่เป็นคู่ปรปักษ์กับฝ่ายใด มีประชากรเชื้อสายจีนเป็นส่วนใหญ่ มีกฎระเบียบที่เอื้อต่อธุรกิจ AI รวมถึงมีโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย จนทำให้สิงคโปร์กลายเป็นผู้รับประโยชน์ และคว้าโอกาสเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี AI ในภูมิภาคอาเซียนนี้

อ้างอิง: bloomberg, tabcut, Forbes

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์