สหรัฐขอเลื่อนการยกระดับ 'เวียดนาม' เคาะสถานะ 'ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด' ส.ค.นี้

สหรัฐขอเลื่อนการยกระดับ 'เวียดนาม' เคาะสถานะ 'ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด' ส.ค.นี้

สหรัฐขอเลื่อนการพิจารณาสถานะ 'ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด' ของเวียดนาม จากเส้นตายวันศุกร์นี้ออกไปเป็นสัปดาห์หน้าแทน ไม่ทันช่วง 'บลิงเคน' เยือนกรุงฮานอย อ้างเจอผลกระทบไอทีล่มจาก CrowdStrike

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ขอเลื่อนการตัดสินใจที่ยากลำบากเรื่องการพิจารณายกระดับ "เวียดนาม" จากระบบเศรษฐกิจที่ไม่ใช่กลไกตลาด ไปเป็น "ระบบเศรษฐกิจแบบกลไกตลาด" (Market Economy Status- MES) จากกำหนดการเดิมในวันพรุ่งนี้ ไปเป็นต้นเดือนสิงหาคมแทน โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะได้รับผลกระทบทางด้านระบบไอทีล่มจากกรณีของบริษัทคราวด์สไตรค์ก่อนหน้านี้

เดิมทีนั้น สหรัฐมีกำหนดจะเปิดเผยเรื่องนี้ภายในเส้นตายวันศุกร์ที่ 26 ก.ค . ซึ่งยังเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ "แอนโทนี บลิงเคน" รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเดินทางเยือนเวียดนามด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องขอเลื่อนออกไป 1 สัปดาห์ เป็นวันศุกร์ที่ 2 ส.ค.แทน

ทั้งนี้ หากเวียดนามได้รับการจัดอยู่ในสถานะ MES จะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากการลดภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับสินค้านำเข้าจากเวียดนาม
 

ปัจจุบัน สินค้าที่มาจากประเทศที่ไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดอย่างเวียดนาม จะต้องเผชิญกับอัตราภาษีสูง และการสอบสวนภาษีในการตอบโต้การทุ่มตลาด อาทิ ในปี 2567 คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USITC) เก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด 25.76% สำหรับกุ้งแช่แข็งจากเวียดนาม ในขณะที่กุ้งแช่แข็งจากประเทศไทย ซึ่งจัดอยู่ในสถานะเศรษฐกิจแบบกลไกตลาดอยู่ที่ 5.34% เท่านั้น

รอยเตอร์สระบุว่า การพิจารณายกระดับสถานะของเวียดนามนั้นมีทั้งฝ่ายที่ "สนับสนุน" และ "คัดค้าน" ในสหรัฐ ฝ่ายที่คัดค้านนำโดยกลุ่มผู้ผลิตเหล็ก กลุ่มที่ทำประมงกุ้งตามชายฝั่งอ่าว และกลุ่มเกษตรกรที่ทำฟาร์มผึ้ง แต่กลุ่มที่สนับสนุนคือฝ่ายผู้ค้าปลีกและธุรกิจอื่นๆ ในสหรัฐ

บลิงเคนเยือนเอเชีย เล็งขาย C-130 ให้เวียดนาม

ความเคลื่อนไหวเรื่องการพิจารณาสถานะเศรษฐกิจใหม่ให้เวียดนาม ยังมีขึ้นในขณะที่แอนโทนี บลิงเคน รมว.ต่างประเทศสหรัฐ กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางเยือนเวียดนาม ลาว ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และมองโกเลีย ในวันที่ 24 ก.ค.67 - 3 ส.ค.67 เพื่อกระชับความสัมพันธ์ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และเข้าร่วมการประชุม รมว.ต่างประเทศ. East Asia Summit ครั้งที่ 14 โดยในโอกาสนี้จะเข้าร่วมพิธีศพและไว้อาลัยแก่เหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ที่กรุงฮานอย ด้วย

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า สหรัฐและเวียดนามกำลังเจรจาซื้อขายเครื่องบินลำเลียงทางทหาร C-130 Hercules ของบริษัท ล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า สองประเทศที่เคยเป็นศัตรูกันในอดีตกำลังร่วมมือกันด้านความมั่นคงอย่างใกล้ชิดมากขึ้น

แหล่งข่าวระบุว่า การเจรจาครั้งนี้อาจนำไปสู่ข้อตกลงจัดซื้อภายในปีนี้ ซึ่งจะเป็นข้อตกลงทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดของเวียดนาม นับตั้งแต่ที่เวียดนามประกาศต่อสาธารณชนเมื่อปลายปี 2565 ว่าต้องการกระจายแหล่งจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ หลังจากที่พึ่งพาอาวุธจากรัสเซียเป็นหลักมานานหลายทศวรรษ

ทั้งนี้ เครื่องบิน C-130 สามารถบรรทุกทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเสบียงต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศของเวียดนาม โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์ในทะเลจีนใต้กำลังตึงเครียด เนื่องจากมีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนระหว่างจีนกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า สหรัฐอาจเสนอความช่วยเหลือทางการเงินให้กับเวียดนามเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการขาย โดยแหล่งข่าวรายหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่า มูลค่าความช่วยเหลืออาจสูงถึงหลายสิบล้านดอลลาร์ ครอบคลุมค่าบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ