คาดค่าเงินบาท-เอเชียอ่อน ส่งออกร่วง หาก'ทรัมป์'ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดี
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐกำลังจะมาถึงในวันที่ 5 พ.ย.นี้ นักลงทุนกำลังพิจารณาว่าผลการเลือกตั้งจะส่งผลต่อตลาดการเงินของเอเชียอย่างไร
KEY
POINTS
- นโยบายทรัมป์ 2.0 จะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 60% และเก็บ 20% สำหรับการนำเข้าสินค้าอื่นๆ ทั้งหมดจากทุกประเทศ
- ทรัมป์จะใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐสูงขึ้น
- ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ ลดอัตราดอกเบี้ยลงน้อยลง เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ค่าเงินเอเชียอ่อนค่าลง
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐกำลังจะมาถึงในวันที่ 5 พ.ย.นี้ นักลงทุนกำลังพิจารณาว่าผลการเลือกตั้งจะส่งผลต่อตลาดการเงินของเอเชียอย่างไร
สำนักข่าวนิกเคอิของญี่ปุ่น รายงานว่า ตลาดกำลังเปรียบเทียบผลกระทบของนโยบายรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริสและอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยตลาดเอเชียคาดว่า หากแฮร์ริส ตัวแทนพรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะ จะเห็นความต่อเนื่องของนโยบายการค้าโลกของรัฐบาลไบเดน
แต่หากทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันชนะเลือกตั้ง ได้กลับมาเป็นผู้นำสหรัฐสมัยที่สอง นโยบายทรัมป์ 2.0 จะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 60% และเก็บ 20% สำหรับการนำเข้าสินค้าอื่นๆ ทั้งหมดจากทุกประเทศ รวมทั้งทรัมป์จะใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐสูงขึ้น ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ยลงน้อยลง เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ค่าเงินเอเชียอ่อนค่าลง
ในการหาเสียงโค้งสุดท้าย ผู้สมัครทั้งสองมีคะแนนนิยมสูสีกันมาก จนไม่แน่ชัดว่าใครจะเข้าเส้นชัย
บรรดานักนักวิเคราะห์ต่างให้ข้อสังเกตว่า ในขณะที่โพลการเลือกตั้งแสดงผลการแข่งขันที่สูสี ตลาดการ พนันเดิมพันทรัมป์มีโอกาสคว้าชัยชนะสูง นักลงทุนจำนวนมากขึ้นกำลังวิเคราะห์ว่าการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีทรัมป์สมัยที่ 2 จะมีผลกระทบอย่างไรต่อภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากแผนการเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าทุกประเทศมีแนวโน้มที่จะขัดขวางการค้าโลก
- คาดสกุลเงินเอเชียอ่อนค่า ส่งออกลดลง
อเล็ก ลู นักค้าเงินตราต่างประเทศและนักกลยุทธ์ มหภาคของบริษัทหลักทรัพย์ TD Securities ในสิงคโปร์ ระบุ
“ทั่วทั้งตลาด อัตราแลกเปลี่ยนเอเชียจะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากชัยชนะของทรัมป์ สำหรับนักลงทุนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเอเชีย ข้อกังวลอันดับหนึ่งคือหากทรัมป์กลับเข้ามาเป็นประธานาธิบดี และประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐทุกรายการ จะส่งผลกระทบต่อประเทศในเอเชียอย่างหนัก เพราะประเทศเหล่านี้พึ่งพาการส่งออกมากกว่าประเทศในภูมิภาคอื่น” เขากล่าว
ด้านปีเตอร์ คินเซลลา หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนโลกของกองทุนบริหารความมั่งคั่ง Union Bancaire Privee ในลอนดอนกล่าวว่า สกุลเงินหยวนจีนตลาดในประเทศ “จะกลับไปอ่อนค่าสู่ระดับ ประมาณ 7.20” ได้อย่างง่ายดาย จากปัจจุบัน 7.11 ต่อดอลลาร์หากทรัมป์ชนะ
ในช่วงสงครามการค้าระหว่างปี 2561-2562 จีนปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าลงเพื่อชดเชยผลกระทบด้านลบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐ นักวิเคราะห์หลายคนระบุว่า คราวนี้ “ปักกิ่งจะเต็มใจอดทนน้อยลง ต่อการที่เงินหยวนอ่อนค่าลงอย่างมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์"
ทั้งนี้ ตามรายงานของนักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทหลักทรัพย์ Nomura Securities ซึ่งรวมถึงฮาร์ริงตัน ฉาง เชื่อว่าจีนกำลังพยายามดึงค่าเงินให้แข็งขึ้นและสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์และการเงิน
เงินเยนของญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่เสี่ยงต่อการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีทรัมป์สมัยที่ 2 มากที่สุด เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยระหว่างของสหรัฐและญี่ปุ่นห่างกันมาก อเล็กซ์ โฮล์มส์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียของศูนย์วิจัย Economist Intelligence Unit ในสิงคโปร์ กล่าวว่า เงินเยนร่วงลงผ่าน 153 เยนต่อดอลลาร์ในวันพุธ (23 ต.ค.) ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สุดในรอบสามเดือน ก่อนที่จะดีดตัวขึ้นในวันศุกร์ (25 ต.ค.) การอ่อนค่าของเงินเยนล่าสุดเกิดจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ หลังจากที่เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด กล่าวว่าเขาไม่เร่งรีบลดอัตราดอกเบี้ยลง และนักลงทุนกำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง และนโยบายของเขาจะทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
โฮล์มส์กล่าวว่าสกุลเงินของไต้หวันและไทยบาท เป็นหนึ่งในสกุลเงินที่จะได้รับผลกระทบจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยกับสหรัฐ
รายงานของสถาบันจัดอันดับ Fitch Ratings นำโดยโทมัส รุคมาเกอร์ เผยแพร่เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ระบุว่า ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นมากกว่าที่คาดอาจกดดันต่ออันดับเครดิตของประเทศในเอเชียแปซิฟิกบางประเทศ
รายงานชี้ว่า หนี้สาธารณะของมองโกเลียมากกว่า 80% อยู่ในรูปสกุลเงินต่างประเทศ และสัดส่วนหนี้ต่างประเทศสูงกว่า 20% สำหรับศรีลังกา บังกลาเทศ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม
ภายใต้การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ “ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่ากว่าค่าประเมินพื้นฐานของเรา โดยทั่วไปจะเพิ่มภาระให้กับผู้ออกพันธบัตรในเอเชียในการชำระหนี้ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงความยากลำบากในการรีไฟแนนซ์หนี้” รายงานระบุ
นักลงทุนบางรายกำลังเข้าตลาดการซื้อขายอนุพันธ์ทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะ คินเซลลา จาก Union Bancaire Privee กล่าวว่าตลาดออปชั่นเห็น “การซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก” ในการซื้อดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินเยน ยูโร สกุลเงินหยวนจีนในตลาดในประเทศ และเปโซเม็กซิกัน การเคลื่อนไหวดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า “นักลงทุนสถาบันกำลังป้องกันความเสี่ยงต่อความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะได้รับชัยชนะ” เขากล่าว “อย่างไรก็ตาม เราสังเกตว่าการซื้อขายเหล่านี้ สัญญามีอายุสั้นๆ ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นปฏิกิริยาของตลาดในระยะเริ่มต้นต่อชัยชนะของทรัมป์” เขากล่าว
- ตลาดหุ้นเอเชียเหนือจะได้ผลกระทบมาก
ฮาร์คมุต อิสเซล หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนหุ้นเอเชีย แปซิฟิกของกองทุน UBS Wealth Management ในสิงคโปร์กล่าวว่า สำหรับหุ้นนั้น ตลาดเอเชียเหนือมีบริษัทจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์ ส่วนประกอบ และฮาร์ดแวร์ที่มีรายได้สูงจากตลาดในสหรัฐ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าบริษัทเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีที่ทรัมป์เสนอนำมาบังคับใช้
บริษัทจดทะเบียนของไต้หวันสร้างรายได้ 25% ใน สหรัฐอเมริกา ณ เดือน ก.ค. ซึ่งสูงกว่าดัชนี MSCI Emerging Markets ถึง 5 เท่า ตามข้อมูล UBS Wealth Management ข้อมูลเผยตัวเลขของเกาหลีใต้อยู่ที่ 17% ใน ขณะที่รายได้ของบริษัทของฟิลิปปินส์และมาเลเซียมีความเสี่ยงต่อตลาดสหรัฐน้อยกว่ามากโดยทั้งบริษัทในทั้งสองประเทศมีรายได้จากสหรัฐ 2% และจากตลาดจีน 1%
อิสเซล กล่าวว่าบริษัทจดทะเบียนในจีนขนาดใหญ่ไม่ได้ส่งออกสินค้าส่วนใหญ่ไปยังสหรัฐ “ดังนั้นแรงกดดันที่เป็นไป ได้ต่อหุ้น [จีน] จะมาทางอ้อม ไม่ว่าจะผ่านทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวหรือมูลค่าตลาดที่หดตัวลงมาก” เขากล่าว
ในช่วงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนภายใต้การนำของทรัมป์ ดัชนีหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ร่วงลงประมาณ 30% และ ดัชนีหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวันก็ร่วงลงระดับปานกลางเช่นกัน เขากล่าว ส่วนดัชนีของ S&P 500 ลดลงเป็นตัวเลขสองหลักในช่วงนั้น
นิโคลัส สมิธ นักยุทธศาสตร์ด้านหุ้นของญี่ปุ่นบริษัทหลักทรัพย์ CLSA กล่าวว่าบริษัทญี่ปุ่นไม่ค่อยเสี่ยงมากต่อการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของทรัมป์มากนัก เนื่องจากพวกเขาใช้เวลาสี่ทศวรรษที่ผ่านมาในการผลิตนอกประเทศ “บริษัทญี่ปุ่นเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในสหรัฐ โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในอุตสาหกรรมยานยนต์” เขากล่าว “จากนี้ไปสิ่งนี้จะมี ความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากการเคลื่อนย้ายสินค้าข้าม พรมแดนจะกลายเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นสำหรับบริษัททั่วโลก” เขากล่าว
- ผลกระทบต่อเอเชียหากแฮร์ริสชนะเลือกตั้ง
หากแฮร์ริสได้รับชัยชนะ นักวิเคราะห์ต่างคาดว่าตลาดจะรักษาสภาพที่เป็นอยู่ต่อไปได้ แต่หุ้นและสกุลเงินในเอเชียก็อาจจะแสดงการตอบสนองแบบอัตโนมัติได้เช่นกัน
“นักลงทุนหุ้นในเอเชียมีแนวโน้มที่จะแสดงปฏิกิริยาเชิงบวกในระยะสั้น” ทิม มูร์เรย์ นักยุทธศาสตร์ตลาดทุนของ T. Rowe Price ในสหรัฐอเมริกากล่าว
“ แต่นักลงทุนสหรัฐจะกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะมีกฎระเบียบใหม่ควบคุมบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่และภาษีนิติบุคคลที่สูงขึ้นภายใต้การนำของแฮร์ริส” เขากล่าว
ด้านนาย ลู จากบริษัทหลักทรัพย์ TD Securities มองว่าชัยชนะของแฮร์ริสจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง
“เพราะว่ามันเป็นไปตามสภาพเดิมที่เป็นอยู่” โดยที่ธนาคารกลางสหรัฐ มีแนวโน้มที่จะดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป
นักวิเคราะห์คาดว่าแฮร์ริสจะยังคงสานต่อแนวทางการค้าโลกของประธานาธิบดีโจ ไบเดนต่อไป
โฮล์มส์จากศูนย์วิจัย Economist Intelligence Unit กล่าวด้วยว่า ไบเดนได้เปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐ “ค่อนข้างมาก” โดยในเดือนมิ.ย. ไบเดนเรียกเก็บภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ของจีนบางรุ่นที่ผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อลดการแข่งขัน และเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว เขาได้ออกกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศอันเป็นผลงานระดับซิกเนเจอร์ของเขา คือกฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อเพื่อส่งเสริมการผลิตพลังงานทดแทนของสหรัฐอเมริกา และกฎหมายชิปและวิทยาศาสตร์ ที่มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐ
"ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการค้าโลกคือ ไม่ใช่ว่าทรัมป์จะเป็นผู้กีดกันทางการค้าและแฮร์ริสจะไม่ ทำเช่นนั้น” เขากล่าว