‘Samsung’ สูญมูลค่า 4 ล้านล้านบาท! หลังเสียเปรียบคู่แข่งในศึกชิป AI นักลงทุนขายหุ้นทิ้ง

‘Samsung’ สูญมูลค่า 4 ล้านล้านบาท! หลังเสียเปรียบคู่แข่งในศึกชิป AI นักลงทุนขายหุ้นทิ้ง

‘Samsung’ กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ในตลาดชิปและหน่วยความจำ AI แม้จะเคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แต่ความล่าช้าในการผลิตชิปขั้นสูง ทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงกว่า 30% และสูญเสียมูลค่าตลาดไปกว่า 4 ล้านล้านบาท

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เพียงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา “ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์” (Samsung Electronics) ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีแห่งเกาหลีใต้ ซึ่งเคยดูสดใสและมีแนวโน้มจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากกระแสความนิยมของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั่วโลก กำไรพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และราคาหุ้นก็ทะยานใกล้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 

แต่ในปัจจุบัน ด้วยความกังวลที่ทวีความรุนแรงขึ้นว่า Samsung กำลังเสียเปรียบคู่แข่งในตลาดด้านหน่วยความจำ AI และการผลิตชิป ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทดิ่งลง 32% นับจากจุดสูงสุดในปีนี้เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ส่งผลให้ Samsung สูญเสียมูลค่าทางการตลาดไปมหาศาลถึง 122,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 4 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในบรรดาผู้ผลิตชิปทั่วโลก

Samsung ให้สัญญาว่าจะปรับปรุงองค์กรเพื่อฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขันกลับมา แต่ผู้จัดการเงินทุนระหว่างประเทศ รวมถึง Pictet Asset Management และ Janus Henderson Investors SP ไม่เชื่อว่าการฟื้นตัวจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นของบริษัทเกาหลีใต้รายนี้ไปแล้วกว่า 10,700 ล้านดอลลาร์นับตั้งแต่สิ้นเดือนกรกฎาคม

“เราได้ลดสถานะการถือครองหุ้น Samsung ลงมากกว่าครึ่งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา” แซท ดูห์ราผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอที่ Janus Henderson Investors SP ในสิงคโปร์กล่าว ดูห์รากล่าวเสริมต่อว่าราคาหุ้นได้ลดลงจนอยู่ในระดับที่น่าสนใจ แต่เขายัง “ไม่มีแผน” ที่จะซื้อหุ้นเหล่านี้ในขณะนี้

แม้ว่าธุรกิจสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นรายได้หลักของ Samsung แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์กลับเป็นแหล่งกำไรที่สำคัญที่สุด อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นในธุรกิจชิปล่าสุด ทำให้ผลประกอบการโดยรวมของ Samsung ย่ำแย่ลง จนต้องออกมาขอโทษนักลงทุน

เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นว่า AI เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างผู้ชนะและผู้แพ้ในตลาดชิปปัจจุบัน ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติต่างถอนการลงทุนออกจาก Samsung มูลค่าบริษัทชิป Nvidia ได้พุ่งทะยานกลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกแทน ส่วน TSMC ผู้ผลิตชิปหลักที่ออกแบบโดย Nvidia และ Apple มีมูลค่าตลาดสูงขึ้นกว่า 330,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้

ในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา แม้ว่าผลประกอบการของ Samsung จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ แต่สถานการณ์กลับพลิกผันอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่นานมานี้ นักลงทุนยังมีความหวังว่า Samsung จะคว้าโอกาสในการเป็นซัพพลายเออร์หลักให้กับ Nvidia ในด้านหน่วยความจำประสิทธิภาพสูง แต่ความหวังดังกล่าวก็ต้องสลายไป

เหตุผลเพราะ Samsung เผชิญกับความล่าช้าในการผลิตชิป HBM รุ่นใหม่ ขณะที่คู่แข่งอย่าง SK Hynix ได้เริ่มผลิตจำนวนมากแล้ว ความล่าช้าดังกล่าวยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายใหญ่จากสหรัฐอย่าง Micron Technology ที่ไม่เพียงแต่เร่งการผลิต HBM แต่ยังเป็นที่ต้องการจากตลาดอย่างท่วมท้น

ยองแจ ลี ผู้จัดการการลงทุนอาวุโสประจำลอนดอนของ Pictet Asset Management ซึ่งได้ลดการถือครองหุ้น Samsung ลง กล่าวว่า “Samsung กำลัง 'สูญเสียความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี' ในธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ ความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีนั้นยากที่จะเรียกคืนได้ในระยะสั้นตามธรรมชาติ” 


อ้างอิง: bloomberg