เปิด 5 เหตุผลหนุน'ทรัมป์'ชนะเลือกตั้ง
ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. ยากจะคาดเดาได้ ผลสำรวจความคิดเห็นความนิยมต่อผู้สมัครออกมาสูสีกันมาก โดยที่ โดนัลด์ ทรัมป์ หรือ คามาลา แฮร์ริส ต่างอาจจะคว้าชัยชนะได้ในที่สุด
มีเหตุผลที่น่าสนใจว่าทำไมทั้งสองจึงมีโอกาสชนะ โดยดูจากการเจาะกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ และความสำเร็จในการดึงให้พวกเขาออกมาใช้สิทธิจริงๆ
เริ่มด้วยความเป็นไปได้ที่จะมีการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ กล่าวคืออดีตประธานาธิบดีที่เคยพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งปี 2020 อาจจะได้รับการเลือกตั้งอีกครั้งเป็นครั้งแรกในรอบ 130 ปี
เหตุผลที่ทรัมป์อาจชนะการเลือกตั้ง
1. เขาไม่ได้อยู่ในอำนาจ
เศรษฐกิจเป็นปัญหาอันดับหนึ่งสำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และในขณะที่อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำและตลาดหุ้นกำลังเฟื่องฟู แต่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่กล่าวว่าพวกเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนท่ามกลางราคาสินค้าที่สูงขึ้นทุกวัน
อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นถึงระดับที่ไม่เคยเห็นนับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 หลังจากการระบาดใหญ่ของโควิด ทำให้ทรัมป์สบ โอกาสตั้งคำถามว่า “ตอนนี้คุณ ดีขึ้นกว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้วหรือไม่”
ในปี 2024 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วโลกได้ขับไล่พรรคที่อยู่ในอำนาจออกไปในหลายประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่าครองชีพที่สูงหลังในช่วงหลังโควิด ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในสหรัฐดูเหมือนจะหิวกระหายการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
ชาวอเมริกันเพียงหนึ่งในสี่เท่านั้นที่บอกว่าพวกเขาพอใจกับทิศทางที่ประเทศกำลังเดินไป และสองในสามมองว่าเศรษฐกิจในอนาคตจะย่ำแย่ลงไปอีก
แฮร์ริสพยายามที่จะเป็นผู้สมัครที่เรียกตัวเองว่า ผู้เปลี่ยนแปลง แต่ในฐานะรองประธานาธิบดี เธอกลับต้องพยายามอยู่ห่างๆจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพราะเขาไม่เป็นที่นิยมในหมู่ประชาชน
2. ดูเหมือนทรัมป์จะทนทานต่อข่าวด้านลบ
แม้จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์จลาจลที่รัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ทรัมป์ถูกฟ้องร้องหลายคดี และถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ระดับการสนับสนุนต่อทรัมป์ยังคงมั่นคงตลอดทั้งปีที่ 40% ขึ้นไป
แม้ว่าพรรคเดโมแครตและกลุ่มอนุรักษนิยมรีพับลิกันที่ “ไม่สนับสนุนทรัมป์” จะบอกว่าทรัมป์ไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่ง แต่พรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยเมื่อทรัมป์บอกว่าเขาตกเป็นเหยื่อของการล่าแม่มดทางการเมือง
เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างยืนหยัดในจุดยืนของตน เขาเพียงแค่ต้องชนะใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้มีภาพจำกับทรัมป์ว่าเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่
3. คำเตือนของเขาเกี่ยวกับคนเข้าเมืองผิดกฎหมายนั้นได้รับเสียงตอบรับในวงกว้าง
นอกเหนือจากภาวะเศรษฐกิจแล้ว การเลือกตั้งมักถูกตัดสินด้วยประเด็นที่ดึงดูดด้วยอารมณ์ พรรคเดโมแครตหวังว่าจะเป็นประเด็นการห้ามทำแท้ง ในขณะที่ทรัมป์กลับเดิมพันว่า เป็นปัญหาคนอพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย
หลังจากการเผชิญกับคนข้ามแดนเข้าสหรัฐเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ ภายใต้การนำของไบเดน และการหลั่งไหลเข้ามาส่งผลกระทบต่อรัฐต่างๆ ที่อยู่ห่างจากชายแดน การสำรวจความคิดเห็นชี้ว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งไว้วางใจทรัมป์ในเรื่องการจัดการกับปัญหาคนเข้าเมืองผิด กฎหมายมากกว่าเชื่อแฮร์ริส และทรัมป์ได้รับคะแนนนิยมในหมู่คนอเมริกันเชื้อสายลาตินมากขึ้นเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ
4. คนไม่มีวุฒิการศึกษาเพิ่มจำนวนขึ้น
การที่ทรัมป์ชนะใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่รู้สึกว่าถูกลืมและถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้เปลี่ยนแปลงการเมืองของสหรัฐ โดยเปลี่ยนกลุ่มผู้เคยสนับสนุนเดโมแครตดั้งเดิม เช่น คนงานในสหภาพแรงงานให้กลายเป็นรีพับลิกัน และทำให้กำแพงภาษีศุลกากรเกือบกลายเป็นบรรทัดฐานในการปกป้องอุตสาหกรรมสหรัฐ
หากเขาสามารถดึงดูดผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งในพื้นที่ชนบทและชานเมืองของรัฐที่มีผลคะแนนนิยมสูงได้ ก็อาจชดเชยการสูญเสียผู้มีสิทธิเลือกตั้งรีพับลิกันที่มีการศึกษาระดับอุดมศึกษาสายกลางได้
5. ทรัมป์คือคนแกร่งในโลกป่วน
ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์กล่าวว่าเขาทำลายพันธมิตรของอเมริกาด้วยการผูกมิตรกับผู้นำเผด็จการ อย่างไรก็ตาม อดีตประธานาธิบดีมองว่าความไม่สามารถคาดเดาได้ของเขาเป็นจุดแข็ง และชี้ให้เห็นว่าไม่มีสงครามใหญ่ๆ เกิดขึ้น เมื่อเขาอยู่ในทำเนียบขาว ชาวอเมริกันจำนวนมากโกรธด้วยเหตุผลต่างๆกันที่สหรัฐส่งเงิน หลายพันล้านดอลลาร์ไปช่วยยูเครนและอิสราเอลรบ และคิดว่า อเมริกาอ่อนแอลงภายใต้การนำของไบเดน
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชายที่ทรัมป์ดึงมาเป็นพวกผ่านพอดแคสต์ เช่น ของโจ โรแกน มองว่าทรัมป์เป็นผู้นำที่ แข็งแกร่งกว่าแฮร์ริส
อ้างอิง: BBC