เจาะนโยบาย 'ทรัมป์-แฮร์ริส' นับถอยหลังเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

เจาะนโยบาย 'ทรัมป์-แฮร์ริส'  นับถอยหลังเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

อีกไม่กี่ชั่วโมงถึงเวลาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอันดุเดือด ระหว่างรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครตกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ชัยชนะอาจต้องตัดสินกันด้วยคะแนนโหวตไม่กี่คะแนนในเจ็ดรัฐสมรภูมิ

รัฐบาลสหรัฐภายใต้ผู้นำทั้งสองคนจะมีบทบาทที่แตกต่างกันอย่างมากต่อชีวิตชาวอเมริกันและต่อโลก สำนักข่าวรอยเตอร์ส รวบรวมนโยบายสำคัญของผู้สมัครทั้งสองคนไว้ดังนี้

นโยบายต่างประเทศ

1. ยูเครน

แฮร์ริส: สนับสนุนให้สหรัฐช่วยเหลือยูเครนต่อสู้กับการรุกรานของรัสเซียต่อไป เธอช่วยประธานาธิบดีโจ ไบเดน จูงใจพันธมิตรในยุโรปให้สนับสนุนยูเครน เช่น คว่ำบาตรสินค้าส่งออกและเจ้าหน้าที่รัสเซีย เธอเคยพบกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนเจ็ดครั้งทั้งยังเคยกล่าวว่าคำแนะนำให้ยูเครนยอมยกดินแดนให้รัสเซียแลกกับสันติภาพเป็น “ข้อเสนอเพื่อยอมแพ้”

ทรัมป์: เสนอว่าความมั่นคงของยูเครนเป็นผลประโยชน์สำคัญของสหรัฐ และเคยกล่าวว่า เขาสามารถยุติสงครามได้ภายใน 24 ชั่วโมง แต่ไม่ได้บอกวิธีการ

2. อิสราเอล

แฮร์ริส: เช่นเดียวกับประธานาธิบดีไบเดน เธอสนับสนุนสิทธิในการป้องกันตนเองของอิสราเอลอย่างไม่เสื่อมคลาย หลังถูกฮามาสโจมตีเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2023

แต่เธอก็วิจารณ์นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ไม่อาจปกป้องพลเรือนชาวปาเลสไตน์ในกาซาได้ กระนั้นเธอไม่ได้เสนอนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไปจากไบเดน

ทรัมป์: เป็นผู้สนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งขัน ย้ายสถานทูตสหรัฐไปยังเยรูซาเล็ม สมัยเป็นประธานาธิบดีเขาดูแลอิสราเอลทำข้อตกลงกับหลายชาติอาหรับโดยไม่ได้สนใจชาวปาเลสไตน์ แน่นอนว่าเขาสนับสนุนให้อิสราเอลต่อสู้กับฮามาสในกาซา แต่บอกด้วยว่าความขัดแย้งควรยุติลงโดยเร็ว

3. องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต)

แฮร์ริส: เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลสหรัฐกระชับสัมพันธ์กับพันธมิตรนาโตให้แข็งแกร่ง ขยายการตอบโต้รัสเซียรุกรานยูเครน เธอสนับสนุนการบูรณาการความร่วมมือการป้องกันร่วมในกลุ่มนาโตเช่นเดียวกับไบเดน และเคยวิจารณ์ทรัมป์เชื้อเชิญรัสเซียโจมตีพันธมิตรนาโตที่ไม่จ่ายงบประมาณป้องกันร่วมอย่างเป็นธรรม

ทรัมป์: กล่าวว่า นาโตกำลังสูบทรัพยากรของสหรัฐ จึงขู่จะถอนตัวและขอให้ยุโรปชดใช้เงินค่าอาวุธเกือบ 2 แสนล้านดอลลาร์ที่ส่งไปยูเครนแก่สหรัฐ ที่ปรึกษาทรัมป์คนหนึ่งเสนอให้มีระบบป้องกันแบบแบ่งชั้น

4. จีน

แฮร์ริส: ใช้เวลาในการเป็นรองประธานาธิบดีบ่มเพาะความสัมพันธ์กับผู้นำเอเชียที่กังวลการขึ้นมามีอำนาจของจีน ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ หรือเวียดนาม เธอมุ่งหวังสร้างพันธมิตรสกัดความก้าวร้าวของจีน จึงคาดว่าเธอจะสานต่อนโยบายไบเดนในความพยายามปรับสัมพันธ์สหรัฐ-จีน พร้อมๆ กับตัดการส่งออกชิปผลิตในสหรัฐไปให้จีน

ทรัมป์: ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ส่อเค้าจุดชนวนสงครามการค้ารอบใหม่ เขาพยายามกีดกันบริษัทจีนไม่ให้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์สหรัฐ และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและเทคโนโลยี

ส่วนประเด็นไต้หวัน สมัยเป็นประธานาธิบดีทรัมป์เปิดกว้างให้มีการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างนักการทูตอเมริกันกับไต้หวัน สร้างความไม่พอใจให้กับจีน ในปี 2023 ทรัมป์ไม่ยอมตอบว่า เขาจะปกป้องไต้หวันหรือไม่ถ้าถูกจีนรุกราน

 การค้าจีน

1. ภาษี

แฮร์ริส: คาดว่าจะคงภาษีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ที่เก็บจากสินค้านำเข้าจีนเอาไว้ ตามที่รัฐบาลทรัมป์เคยประกาศใช้แล้วผ่านการทบทวนจากรัฐบาลไบเดนแล้ว

พรรคเดโมแครตขยายภาษีศุลกากรในสาขาที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อสหรัฐหรือถูกคุกคามจากการผลิตล้นเกินของจีน เช่นยานยนต์ไฟฟ้า

ทรัมป์: เสนอเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศทุกชนิดอย่างต่ำ 10% ยุติสถานะชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์อย่างยิ่งทางการค้าของจีน และเสนอเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนไม่ต่ำกว่า 60% เสนอเก็บภาษีตอบโต้ประเทศต่างๆ ที่ตั้งกำแพงการค้าของตนเอง เสนอกำหนดภาษีสูงถึง 200% ต่อการนำเข้ารถยนต์จากบางประเทศ เช่น จีน

2. ห้ามลงทุน

แฮร์ริส: เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลที่ออกคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อปี 2023 ห้ามการลงทุนใหม่บางอย่างของสหรัฐด้านเทคโนโลยีอ่อนไหวในจีน เช่น ชิปคอมพิวเตอร์และกำหนดให้รัฐบาลต้องแจ้งให้ภาคส่วนเทคโนโลยีอื่นๆ ทราบด้วย

 ทรัมป์: ตอนเป็นประธานาธิบดีเคยออกคำสั่งฝ่ายบริหารในปี 2020 ห้ามสหรัฐลงทุนในบริษัท “ทหาร” จีน เขาพยายามห้ามไม่ให้บริษัทจีนเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐในภาคพลังงานและเทคโนโลยี แต่กลับเปลี่ยนจุดยืนเกี่ยวกับการแบนติ๊กต็อกในสหรัฐ

 เศรษฐกิจและภาษี

1. ภาษีบุคคลธรรมดา

แฮร์ริส: ต้องการขึ้นภาษีครัวเรือนที่มีรายได้เกิน 400,000 ดอลลาร์ต่อปี แต่จะขยายเกณฑ์การลดหย่อนภาษีขั้นต่ำของทรัมป์ออกไปเมื่อครบกำหนดในปี 2025

นอกจากนี้เธอยังจะเพิ่มเครดิตภาษีการเลี้ยงดูบุตรเป็น 3,600 ดอลลาร์ต่อบุตรหนึ่งคนต่อปี พร้อมโบนัสเด็กเกิดใหม่ 6,000 ดอลลาร์ ยกเลิกภาษีทิป ให้เครดิตผู้ซื้อบ้านหลังแรก 25,000 ดอลลาร์

ทรัมป์: ต้องการคงอัตราภาษีบุคคลธรรมดาที่ออกเมื่อปี 2017 เอาไว้ทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่าช่วยหนุนการเติบโตของสหรัฐก่อนโควิดระบาด ทั้งยังให้คำมั่นยกเลิกภาษีทิป, การทำงานล่วงเวลา และภาษีสิทธิประโยชน์ประกันสังคม

2.ภาษีนิติบุคคล

แฮร์ริส: เสนอขึ้นภาษีนิติบุคคลจาก 21% ในปัจจุบันมาอยู่ที่ 28% เพื่อช่วยลดการขาดดุลในอนาคต ตามแนวทางของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แต่จะลดอัตราภาษีกำไรจากการลงทุนในสินทรัพย์ให้กับคนที่มีรายได้เกิน 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี

ทรัมป์ ต้องการลดอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 21% ที่เขาเคยกำหนดไว้ในกฎหมายลดภาษีและการจ้างงานปี 2017 มาอยู่ที่ 15% สำหรับบริษัทที่ผลิตสินค้าในสหรัฐ ซึ่งอัตราภาษีนิติบุคคลปี 2017 จะไม่หมดอายุในปี 2025

 เชื้อชาติสีผิวในสหรัฐ

1. สีผิว

แฮร์ริส: กล่าวว่าแนวคิดคนผิวขาวเหนือกว่าทำให้เกิดการสังหารหมู่ในเมืองเอลปาโซ รัฐเท็กซัสเมื่อปี 2019 คร่าชีวิตประชาชน 23 คน เธอกล่าวหาทรัมป์พยายามทำให้คนอเมริกันแตกแยกเพราะสีผิว บ่อยครั้งที่เขาอ้างผิดๆ ว่า บารัก โอบามา ประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของประเทศไม่ได้เกิดในสหรัฐ

ทรัมป์: มักหาเสียงเรื่องภัยคุกคามจากชาติพันธุ์กลุุ่มน้อยและผู้ลักลอบเข้าเมือง เรียกคนที่ลักลอบเข้าเมืองและก่ออาชญากรรมเป็น “สัตว์” และ “แมลง” อ้างผิดๆ ว่า คนเข้าเมืองชาวเฮติในเมืองหนึ่งของรัฐโอไฮโอขโมยสัตว์เลี้ยงไปทำอาหาร เขากล่าวด้วยว่าตอนเป็นประธานาธิบดีครั้งแรกนโยบายเศรษฐกิจของเขาได้ช่วยเหลือชาติพันธุ์กลุ่มน้อย และจะทำเช่นนั้นอีกหากได้รับเลือกตั้ง

2. มาตรการความหลากหลาย

แฮร์ริส: เน้นการหาเสียงที่มีผู้หญิงนำ โดยเฉพาะผู้หญิงผิวดำที่เชี่ยวชาญทางการเมือง คาดว่าเธอจะสานต่อนโยบายของไบเดนในการจ้างงานและทำสัญญาอย่างหลากหลายของรัฐบาลกลาง

ทรัมป์: ต่อต้านการฝึกอบรมอย่างหลากหลายในหน่วยงานรัฐบาลกลาง ออกคำสั่งฝ่ายบริหารช่วงปลายสมัยห้ามการอบรมบางอย่างที่ “ต่อต้านอเมริกัน” ต่อมาไบเดนยกเลิกคำสั่งนั้น

 การเข้าเมือง

1. ชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก

แฮร์ริส: เรียกร้อง “เส้นทางได้สัญชาติอย่างมีระเบียบและมนุษยธรรมสำหรับผู้ที่ทำงานหนัก” สนับสนุนร่างกฎหมายไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายของวุฒิสภา จัดหางบประมาณเพิ่มการจ้างเจ้าหน้าที่ดูแลชายแดน ผู้พิพากษาตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ดูแลผู้แสวงหาที่พักพิง 

ทรัมป์: ตอนเป็นประธานาธิบดีเขาได้สร้างหรือปรับปรุงกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐ-เม็กซิโก 725 กิโลเมตร และลั่นวาจาว่าจะทำให้เสร็จ เขาต้องการควบคุมตัวผู้ลักลอบเข้าเมืองทุกคน ให้คำมั่นจะเนรเทศครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ และจะใช้กองกำลังปกป้องชาติและถ้าจำเป็นก็จะให้ทหารเข้ามาดูแลชายแดน ต้องการยุติการให้สัญชาติเด็กที่เกิดจากผู้ลักลอบเข้าสหรัฐ

2.การขอพักพิงในสหรัฐ

แฮร์ริส: สนับสนุนข้อจำกัดที่ใช้อยู่ในขณะนี้ออกโดยรัฐบาลไบเดน ไม่ให้ที่พักพิงแก่ผู้ลักลอบเข้าเมืองที่ถูกจับได้บริเวณชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก ไบเดนใช้มาตรการนี้ในเดือน มิ.ย. ส่งผลการให้การลักลอบข้ามแดนลดลงอย่างมาก

ทรัมป์: จะฟื้นคืนนโยบาย “อยู่ต่อไปในเม็กซิโก” ของเขาเอง กล่าวคือการบีบให้ผู้แสวงหาที่พักพิงที่ไม่ใช่ชาวเม็กซิโกรอสถานะในเม็กซิโกไม่ต้องเข้ามารอในสหรัฐ โดยรวมแล้วทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะจำกัดการขอสถานะพักพิงบริเวณชายแดนทางใต้ของสหรัฐลงอย่างมาก

 การทำแท้ง

1. ประวัติศาสตร์

แฮร์ริส:ให้คำมั่นว่าจะลงนามในกฎหมายเพื่อรวบรวมการเข้าถึงการทำแท้งอย่างปลอดภัย หลังจากในปี 2022ศาลฎีกาสหรัฐยกเลิกคำตัดสิน Roe v. Wade ซึ่งทำให้การทำแท้งถูกกฎหมายทั่วประเทศ และเนื่องจากสภาคองเกรสแตกแยกหากมีเสียงไม่มากพอก็ผ่านกฎหมายไม่ได้ เธอจึงสนับสนุนยุติการได้เสียงสนับสนุนข้างมากเด็ดขาดในวุฒิสภาเพื่อออกกฎหมาย

ทรัมป์: อ้างผลงานแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสายอนุรักษนิยมสามคน ที่อยู่ในเสียงข้างมาก 6-3 ตัดสินคดีทำแท้ง ยุติการยอมรับสิทธิตามรัฐธรรมนูญให้ผู้หญิงทำแท้งได้ ปล่อยให้แต่ละรัฐออกข้อจำกัดของตนเอง

2. คำสั่งห้ามของรัฐบาลกลาง

แฮร์ริส: ต่อต้านการห้ามทำแท้งของรัฐบาลกลาง การหาเสียงของเธอเน้นส่งเสริมสิทธิในการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง ในฐานะรองประธานาธิบดี แฮร์ริสรับหน้าที่ดูแลเรื่องนี้ในรัฐบาลไบเดน

ทรัมป์: ต่อต้านการห้ามทำแท้งของรัฐบาลกลาง กล่าวว่า กฎหมายทำแท้งควรเป็นการตัดสินใจของแต่ละรัฐ

เขายังสนับสนุนข้อยกเว้นหากตั้งครรภ์เพราะถูกข่มขืนหรือการร่วมประเวณีในสายเลือด หรือเป็นอันตรายต่อชีวิตแม่ ซึ่งแตกต่างจากผู้มีแนวคิดอนุรักษนิยมเคร่งศาสนาบางคน

 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

1. การลงทุนสีเขียว

แฮร์ริส: คาดว่าจะสานต่อนโยบายไบเดน ใช้การยกเว้นภาษีและมาตรการจูงใจอื่นๆ เปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจสหรัฐจากพลังงานฟอสซิล เธอมักอ้างถึงกฎหมายลดเงินเฟ้อที่ให้เครดิตภาษีหลายพันล้านดอลลาร์ช่วยผู้บริโภคซื้อยานยนต์ไฟฟ้า และช่วยบริษัทผลิตพลังงานหมุนเวียน

ทรัมป์: ให้คำมั่นยกเลิกการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวและรถยนต์ไฟฟ้าของไบเดน ขยายการพัฒนาน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินเพื่อยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าและลดการกำกับดูแลกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้เขาจะนำสหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการต่อสู้โลกร้อนอีกครั้งหนึ่ง

2. นโยบายน้ำมันและก๊าซ

แฮร์ริส: คาดว่าจะเดินตามแนวทางของไบเดน ยอมรับถึงความสำคัญของพลังงานฟอสซิลต่อเศรษฐกิจในปัจจุบัน พร้อมๆ กับผลักดันสหรัฐไปในทิศทางห่วงใยสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ทรัมป์: ประกาศเพิ่มการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศขึ้นอีกมาก สมัยเป็นประธานาธิบดีทรัมป์อนุมัติโครงการท่อส่งน้ำมันคีย์สโตนเอ็กซ์แอล จากแคนาดามายังสหรัฐ ต่อมาไบเดนยกเลิกการตัดสินใจดังกล่าว ทรัมป์จึงให้คำมั่นจะรื้อฟื้นโครงการนี้ขึ้นมาใหม่และจะอนุมัติขุดเจาะน้ำมันในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติอาร์กติกในอะแลสกาอีกครั้ง